วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อเมริกาพาเพลิน 4

To be a Kitchen Staff




ก่อนวันเปิดร้านนึงวัน เรากับเพื่อนก็มาทำความสะอาดร้านเป็นปกติ แต่วันนี้มันต่างตรงที่ว่า นอกว่าสาวเสิร์ฟมีอายุแล้ว คนที่คิดว่าอายุน่าจะมากกว่าไม่เยอะอย่างสตีฟ ปีเตอร์รับคนที่เข้ามาทำในครัวอีก 1 คนชื่อ "Colton" เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูอวบน่ากอดดีในความคิดเราตอนนั้น แต่หลังจากนั้นเราเพิ่งรู้จากสตีฟว่าโคลตันมีแฟนและเหมือนทะเลาะจนต้องมีอันเลิกกัน และวันนั้นฉันก็ได้เพื่อนใหม่อีก 2 คนที่จะทำงานเสิร์ฟ ชื่อ "สเตฟาน" และจูลี่ แต่ถ้าจำไม่ผิด เราทำงานกับสเตฟานทุกกะ แต่กับจูลี่ เราเจอตอนนางทำช่วง breakfast อย่างเดียว ... แต่พอเราได้รู้จักกับ 3 คนนี้ ความรู้สึกมันต่างอย่างลิบลับกับสตีฟเลยแหละ ของโคลท์นั้น แว่บแรก เรารู้สึกว่าไอเด็กนี้ดูมั่นใจตัวเองดี และเหมือนจะซื่อแต่แอบร้ายลึก เพราะเราสัมผัสหลังจากนั้น ส่วนสเตฟาน ภายนอกเหมือนฝรั่งเนิร์ดที่มีหน้าตาดีและสูง แต่พอรู้จักเท่านั้น ใครเคยเห็นพวกฝรั่งที่แบบเนิร์ดๆ นิสัยประหลาดๆ พูดเหมือนมีหลักการตลอดเวลา ถ้าตามในหนังคือคนที่แอบชอบนางเอกตามหนังวัยรุ่นเลย พอรู้จักกันมากขึ้น สเตฟานเป็นคนน่ารักมากนะ ไนซ์และช่วยเหลือเราตลอด ถึงแม้จะตามแบบเด็กเนิร์ดก็ตามเหอะ หลักการสุดๆ เรากับเพื่อนเคยคิดเลยนะว่ากลับบ้านไป มันเป็นหุ่นยนยต์ที่มีคนบังคับข้างในหรือป่าว ดูแบบแข็งๆทื่อๆเนียบๆชอบกล ส่วนจูลี่ ไม่ค่อยได้คุยกับนางเท่าไหร่ เพราะเวลาเราทำงานช่วงเช้านั้น นางเสิร์ฟ แต่เราล้างจานและเตรียมของ แล้วก็ทำแพนเค้กอยู่ในครัวกับสตีฟและโคลท์ ส่วนเพื่อนเราก็เสิร์ฟด้วยแต่นางไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่... พอบ่ายกว่าเราก็รู้จักพี่มืด พี่เลี้ยงชาวจาไมก้า อายุ 34 ที่เราคุยกับพี่แกแล้วเหมือนฟังเพลง rap ตลอดเวลา ฮ่าๆๆ พี่แกชื่อ "Andrew" และคนนี้เราคิดว่าเขาสำคัญพอๆกับเชฟทีเดียว เพราะเวลาเรากับเพื่อนอยู่ในครัว แอนดรูวจะช่วยเหลือคอยถามตลอดเวลา



เราขออธิบายการทำงานของเราก่อนนะ เพราะหลังจากเรายืดยาวว่าไปเจอใครมาบ้าง .... ในตอนแรกที่เราตกลงกับทางปีเตอร์นั้นว่าตำแหน่งเรากับเพื่อนจะคนละอย่างกัน ของเราเป็นตำแหน่ง kitchen staff และเพื่อนเราเป็น Bussy (ถ้าผู้ชายเห็นเค้าเรียกกันว่า Busser) แต่พอเข้าจริงๆแล้ว ได้ kitchen staff ทั้งคู่ แต่เราจะโดนให้ไปเป็น bussy อยู่ประมาณอาทิตย์นึงในช่วงกะเย็น เพราะแอบได้ยินปีเตอร์คุยกับเบคกี้เรื่องตารางงาน ปีเตอร์อยากให้เรารู้จักกับการทำงานนอกครัวและในครัวว่ามันต่างกันยังไงเพราะเราเรียนอาหารมา และประเด็นสำคัญ แกอยากให้ลูกค้าเจอกับเรา เนื่องจากหน้าเราเวลายิ้ม มันสดใสและน่าจะรับแขกได้ดี (ฉายาเราที่อยู๋ในร้านและเวลาอยู่ที่นั้น ถ้าไม่เรียกเราว่า Mail call ก็จะเป็น Sunshine) ซึ่งมันหนักสุดๆเพราะร้านคนอย่างกะหนอน เพื่อนเราล้างจานและจัดเสิร์ฟขนมจนบางทีเสิร์ฟขนมผิดยังมีเลย ใครที่บอกว่างานที่อเมริกาจะเรื่อยๆไม่หนักมาก เราค้านนะ เพราะเล่นเอาเรากลับบ้านไป นอนตายเป็นศพทุกคืน!! งานของเรากับเพื่อนจะไม่ต่างกันมานัก เพราะส่วนใหญ่จะทำเหมือนๆกัน แต่เราจะหนักไปทางทำครัวเยอะหน่อย แต่ถ้าโดยรวมแล้วหน้าที่ที่เราทำจริงๆคือ ทำมันทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเท่าที่ร้านอาหารจะมีงานให้ทำ แม้กระทั่งไปถอนหญ้าตรงลานจอดรถ เรายังทำมาแล้ว ตำแหน่งที่เราไม่เคยได้ทำในร้านนั้นคือ แคชเชียร์และบาร์เทนเดอร์ เพราะนั่นคือหน้าที่ของเคนดร้าและลอร์ร่าค่ะ 

ถ้าแยกแล้วช่วงเช้านั้น เราจะทำความสะอาดร้านอ่ะ ทำตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 2 งานที่ทำคือ เช็ดโต๊ะ เก้าอี้ เซ็ทโต๊ะ เติมน้ำมันมะกอก เช็ดแก้วครอบตะเกียง ล้างห้องน้ำ เช็ดพื้นบาร์ เติมแก้วไวท์ที่บาร์ เติมกระดาษและผ้าเปียกตามจุดของร้าน ดูดฝุ่นร้าน อันนี้ต้องทำเช้าและหลังร้านปิดค่ะ ซักผ้าเช็ดปาก พับผ้า เซ็ทรางสลัดบาร์ ล้างจานจากที่เหลือจากร้านปิด อาจจะมีถอดหญ้าตามลานจอดรถและรอบๆร้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่คือต้องคอยกวาดเศษใบไม้รอบๆร้านเสมอและทุกวัน ส่วนช่วงเย็น จะทำตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มและบางวันอาจจะลากถึง 5 ทุ่มเลยนะ ในครัวเรามีหน้าที่หลักๆสุดเลยคือ ล้างจานค่ะ นี่คือ My station แบบใครเข้ามาตรงนี้ต้องผ่านการสแกนพวกเราก่อน ฮ่าๆๆ เว่อร์ไป,,, ต่อไปคือการจัดเสิร์ฟของหวานค่ะ  บางทีเราล้างๆจานอยู่ ออร์เดอร์มาแบบไม่หยุดเลยจากที่เคยถอดถุงมือยางทุกครั้ง ตอนนั้นเราไม่เคยถอดอีกเลย เสียเวลา แต่พออยู่ไม่ถึงเดือน เดเร็คอยากให้เราทำอย่างอื่นบ้าง เลยให้เราได้ทำในส่วน Starter menu หน้าที่ส่วนใหญ่จะทำสลัด ทอดทันเดอร์ชิคเก่น ทอดปลาหมึก และการทำ Side dish ให้กyบเชฟที่ประจำที่ตรงส่วนของ Pasta ... และตรงจุดนี้เองที่ทำให้เราต้องเจอกับ Lobster ซึ่งคนที่นั้นเวลาทำของสด คือของต้องสด นั่นคือมีชีวิตและใหม่ แล้วเราเองคือเกิดมาไม่เคยฆ่าสัตว์เป็นๆ (ถ้าไม่นับตอนเป็นเด็กที่ตอนนั้นยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเลยด้วยซ้ำ) เบคกี้บังคับให้เราเอามีดสับ Lobster ทั้งๆที่มันยังไม่ตาย เราไม่กล้าและตอนนั้นจำได้เลยว่า หน้าเราถอดสีและเบคกี้หน้าแบบไม่พอใจ พอนางทำเสร็จและวางจากออร์เดอร์ นางก็ว่าเราเรื่องนี้ทันที .. และนั้นก็กลายเป็นว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ เราต้องค่อยภาวนาในใจแล้วลงมีดทุกครั้ง ... 

แล้วเสาร์อาทิตย์ จะมีช่วง Breakfast เราก็ต้องมาช่วยงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า ส่วนมากเราอยากล้างจานมากกว่า แต่สตีฟชอบบังคับให้เราทำแพนเค้กและทอด Home Fried (มันฝรั่งหั่นเต๋าอบและค่อยมาทอดอีกครั้งก่อนเสิร์ฟ) ส่วนโคลท์มักจะใช้เราหั่นผักเพื่อทำ Side dish สำหรับอาหารตอนช่วงเย็น และถ้าว่าง เขาจะให้เราทำวาฟเฟิลแทนเพื่อนที่เขาจะไปทำอีกหน้าที่นึง บอกเลยว่า พอทำงานกับสองคนนี้ เราเหมือนพี่เลี้ยงเด็กอ่ะ เพลงที่เปิดในครัวก็จะร็อคและเมทัลสุดพลัง .... (เราอาจจะไม่มีรูปของ 2 คนนี้นะค่ะ เพราะเวลาทำงานส่วนมากจะไม่มีเวลาได้หยิบกล้องเลย)




จากตรงที่เรายืนถ่ายคือ station ที่เราทำอาหาร Starter ค่ะ ถัดไปเป็น Pasta และ Steak สุดท้ายคือ ที่จัดของหวานค่ะ



พอเริ่มเปิดร้าน อย่างแรกเลย ปีเตอร์ให้เราเป็น Bussy ค่ะ ทำคู่กับสเตฟานสองคน และปีเตอร์จะให้เราผลัดเข้าไปช่วยเพื่อนล้างจานด้วย อาจจะไม่ทั้งหมด เพราะเวลาเราเข้ามาไม่ถึงสามนาที ไดแอนด์ชอบไล่เราออกไปหน้าร้านทุกครั้ง สเตฟานก็เหน็บเราเรื่องนี้ตลอด เราเห็นใจเพื่อค่ะ เพราะมันต้องทำคนเดียว จานก็ทะยอยมาไม่หมดซักที ไหนจะต้องล้างช้อนส้อม ขัดกระทะ หม้อ จานย่างสเต็ค เก็บจานที่ล้างเสร็จแล้ว คัดแยกช้อนส้อมและมีดที่ล้างเสร็จแล้วอีก ตอนนั้นเราสงสารเพื่อนเลยค่ะ แต่เกือบทุกครั้งที่เราจะเข้าไปช่วย เราจะเจอสตีฟยืนขัดหม้อ กระทะแทนเพื่อนตลอด ส่วนโคลท์นั้น เดเร็คให้ช่วยแอนดรูวเพราะหลังจากนั้นอาจจะต้องให้ทำด้วยกันในช่วง summer ค่ะ เพราะเวลานั้นมันคนเยอะจนในครัวแทบจะไม่มีที่เบียดตัวทีเดียว ... สตีฟเป็นคนเดียวที่มักจะมาคอยช่วยงานเราเสมอถ้าเขาหมดออร์เดอร์ แต่ถึงยังไง ในสายตาพวกเรา เขาเป็นคนที่ไม่เป็นมิตรแม้ว่าจะช่วยงานตลอดก็ตาม 

ิหลังจากร้านปิด เราต้องคลีนทุกอย่างเช่นกัน เรากับสเตฟานจะผลัดกันดูดฝุ่นคนละโซนร้าน และคลีนโต๊ะ ก่อนจะได้กินมื้อค่ำที่เชฟเขาทำออร์เดอร์ไว้ให้ และเรื่องทิป อันนี้น่าสนใจ นอกจากค่าจ้างที่ได้ตามขั้นต่ำของแต่ละตำแหน่งแล้ว พอเราเป็น Bussy ค่าจ้างจะน้อย แตะทิปที่ได้ในแต่ะละวัน ที่เราได้ จะอยู่ที่ 50 - 70 เหรียญต่อวัน แต่ถ้าทำ kitchen staff ทิปจะไม่ได้เพราะเรทขั้นต่ำจะเยอะกว่าตำแหน่ง Bussy อยู่แล้ว ... ผ่านไปอาทิตย์แรกไป เราแทบจะไม่ได้นั่งหรือได้เข้าครัวเลย จะได้ช่วยเพื่อนก็ต่อเมื่อวันนั้นเป็นช่วง Slow night จริงๆ เพราะทั้งช่วงเย็นนั้น เราต้องคอยเดินเติมน้ำ เก็บจาน เติมช้อนส้อมมีด เซ็ทโต๊ะ ทำซีซาร์สลัด คอยดูสลัดบาร์ อะไรใกล้หมดก็ต้องเรามาเติม ยื่นตรงเค้าท์เตอร์หน้าร้านบ้างถ้าอยู่ใกล้ปีเตอร์จะให้ยิ้มต้อนรับลูกค้าตลอดถ้ามีโอกาส เติมทิชชู่ในห้องน้ำ จนพอปีเตอร์รับเด็กใหม่มาเพิ่ม ก็จะให้เรามาทำงานในครัวเหมือนเดิม แต่เด็กใหม่ที่ทำในช่วงเย็นนั้น คือ "Rose" และ "Odessa" แต่เรากับเพื่อนจะสนิทกับโรสมากกว่าโอเดสซ่า เพราะ โอเดสซ่านางติ๊สเกิน เลยไม่ค่อยได้อยู่คุยกับเราเท่าไหร่เวลาร้านเลิก เพราะความที่ว่าทุกคนทำงานของตัวเองเสร็จเมื่อไหร่จะต้องมากินมื้อค่ำด้วยกันที่เค้าท์เตอร์บาร์ของร้าน ... 



เงินนี้เป็นทิปก้อนแรกของเรา รู้สึกน่าจะได้ 53 เหรียญมั้งนะ


หลังจากจบอาทิตย์แรกของการทำงาน ปีเตอร์ชวนเราไปงาน Easter ที่บ้านของเขา โดยแอนดรูวก็ไปด้วย เราได้รู้จักกับครอบครัวของปีเตอร์ ทุกคนเป็นคนน่ารักมาก อัธยาศัยดีเกินคาด และที่สำคัญเป็นครอบครัวที่อารมณ์ดีมาก ปีเตอร์มีหลานตัวน้อยชื่อ "แม็กไกว" เป็นเด็กน่ารักน่าหยิกมาทีเดียว ครั้งแรกที่เห็น เราหลงรักเด็กคนนี้เต็มๆเลยค่ะ นอกจากแม็กไกวก็มีหลายชายอีกสองคน และหลานสาวอีกหนึ่ง รวมไปถึงลูกของพี่ชายปีเตอร์อีก 3 คนที่ไม่ได้กลับมางานด้วย พอถึงมื้ออาหาร ทุคนประจำโต๊ะและจานแรกที่วาง คือสเต็กเนื้อ แต่เราไม่กินเนื้อเลย เราไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าทำไมหลังจากขึ้นมอปลายมา เราไม่กินเนื้อไปเฉยเลย ที่บ้านไม่ได้นับถือเจ้าแม่กวนอิมนะ เรารู้สึกว่าได้กลิ่นหรือกินเข้าไปแล้ว มันจะอ้วกและปวดตัวมาก เราบอกปีเตอร์มีแบบอื่นมั้ย เพราะเราไม่กินเนื้อ เขาทำหน้าแบบเหมือนจะไม่มี ปีเตอร์เลยสลับจานของเขาให้เรา เพราะเป็นเนื้อหมู และนี่ก็อีก 1 อย่างที่เรารู้สึกดีกับนายจ้างคนแรกของเรา และปีเตอร์ยังให้ช็อกโกแลต Easter ของเขาให้เราอีกถุง แต่เพื่อนเราไม่ได้นะ ฮ่าๆๆ .... หลังจากวันงานจบไป เราก็เริ่มวิถีชีวิตของการทำงานในครัวแล้วค่ะ








ภาพนี้เป็นรูปสามพี่น้องตระกูล Hall ค่ะ เรายังหานายจ้างเราไม่เจอเลย ฮ่าๆๆ





เห็นลิบๆมั้ย? เจ้าหนูแม็กไกวค่ะ




รูปนี้น้องร้องอยากกินช็อคโกแลตแต่ปีเตอร์ไม่ให้ค่ะ น้ำตาปริ่มเลย


พอเข้าสู่การทำงานในครัว เราจะประจำที่ทันที เพราะงานทำความสะอาดช่วงเช้าเรากับเพื่อนจะสลับกันทำคนละวันค่ะเลยขอข้ามช่วงเช้าไปนะค่ะ ทุกเย็น เราถ้าเป็นช่วงจันทร์ถึงศุกร์ เรากับเพื่อนก็สลับกันทำเหมือนกันค่ะ เพราะคนไม่เยอะเท่าที่ควรหรือ เข้าพร้อมกันแต่คนละเวลา แต่เสาร์อาทิตย์เท่านั้นที่ทุกคนในครัวจะมากันครบ เนื่องจากฝรั่งชอบกินข้าวนอกบ้าน คนเยอะแบบ โต๊ะไม่พอ เราทำออร์เดอร์ไม่ทัน ทำผิดเมนูก็เคย โดยเชฟกินไส้ตลอด ฮ่าๆๆ ถ้าถามว่าทำงานแบบนี้มันสนุกตรงไหน เราบอกได้เต็มปากเลยนะว่า เพื่อนร่วมงานและนายจ้างที่ดี เพราะถ้าเขาใจกับเรามากแค่ไหน เราก็ใจเขามากเท่านั้น ในหนึ่งอาทิตย์นั้น เราทำงาน 6 วันและได้วัน off ประจำคือวันอังคาร เบคกี้จะจัดให้เรากับเพื่อนหยุดตรงกันเพื่อจะได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน และหน้าที่ล้างจานในวันนั้น แน่นอนว่าต้องตกเป็นของสตีฟแน่นอนอยู่แล้ว เขาเคยบอกเราว่า เครื่องล้างจานเป็นแม่ของเขาในครัว เขารักงานนี้ตั้งแต่ทำงานมา เราก็ เออๆ ชอบมากก็มาทำแทนตลอดเลยได้ป่ะล่ะ? ฮ่าๆๆ และวันไหนที่เราได้ทำงานคนเดียว ก็จะมีสตีฟเนี่ยแหละ คอยช่วยเหลือ ส่วนโคลท์จะช่วยบ้างเป็นบางอย่าง ไม่เท่ากับสตีฟทำเท่าไหร่ หลายครั้งที่ฉันปล่อยให้เขาล้างจานคนเดียว รู้สึกหมั่นไส้ที่ตอนแรกแกล้งจะเอาตำรวจมาจับส่งกลับประเทศนี่หน่า

และพอใกล้เข้าอาทิตย์ของสิ้นเดือน ไดแอนด์จะเสริมงานช่วงเช้าคือ Breakfast time ถ้าทำไม่ผิดจะตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงเที่ยงตรงมั้งนะ เราต้องแหกตาตื่นมาก่อนหกโมงเพื่อมาอาบน้ำไปทำงาน จริงๆมันจะไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลย ถ้ามันไม่หนาวเข้าไส้น่ะ ขนาดเดือนเมษานะ หนาวขนาดเราต้องห่มผ้าสามชั้นอ่ะ ฮีทเตอร์ก็เอาไม่อยู่จริงๆตอนนั้น ... เวลาเข้างานช่วงนั้น เราต้องทำงานกับสตีฟและโคลท์ ส่วนเพื่อนเรา นางได้เป็น Bussy ค่ะ ฉํนทำงานล้างจานไป แต่จะมีบางช่วงที่ โคลท์จะให้ฉันเตรียมผัก Side dish สำหรับช่วงเย็น  เวลาทำงาน 2 สองคนนี้มักจะเข้ามาวุ่นวายกับเราแทบทุกเวลาที่มีโอกาส คือไม่มีออร์เดอร์งานนั่นเอง ยั่วโมโหบ้าง แกล้งใช้งานบ้าง บางทีฉันทนไม่ไหว ก็จะเอามีดที่หั่นผักชี้หน้าด่าประจำ (จริงๆไม่ควรทำแบบนี้ในครัวนะค่ะ ถ้าคนเยอะๆ มีเสียบมดด้ามแน่ๆ) เวลาเราหั่นหอม ไอระเหยมักทำน้ำตาไหลตลอด สตีฟกับโคลท์จะชอบตกใจเวลาน้ำตาเราไหล ก่อนจะหัวเราะซ้ำกับความโก๊ะของเรา ... เฮ้ออ เด็กน้อยสองคนนี้ มันทำให้เราปวดหัวเวลาทำงานตริงๆนั่นแหละนะ งานส่วนใหญ่ในช่วงนี้เราจะหมดไปกับการล้างจาน อาจจะมีทำแพนเค้กบ้างถ้าสตีฟบังคับ ทำวาฟเฟิลบ้างถ้าโคลท์อยากทำแพนเค้ก หรือถ้าไม่มีออร์เดอร์เลย เราสามคนก็รั่วกันในครัวนั้นแหละค่ะ ฮ่าๆๆ ... พอในช่วงวันเดย์ off เรากับเพื่อนมักจะชอบออกไปช็อปปิ้งที่เมือง Orleans เพราะมีห้าง แต่คราวนี้เรานั่งบัสไปค่ะ โดยโทรเรียกให้จอดรับที่หน้าหน้า Catch of the day และจอดลงที่นั้นตามเดิมค่ะ







ภาพที่เราถ่ายมาจะเป็นช่วงทางเดินรอบๆเมืองแถวๆห้างค่ะ และเราชอบบรรยากาศเมืองเที่ยวที่นี้สุดๆค่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมฝรั่งถึงชอบเดินเท้ากันจัง ทุกครั้งที่พวกเราหยุดก็จะมาเดินเที่ยวที่เมืองนี้ซะส่วนใหญ่ ไม่ก็มากินข้าวที่ร้านอาหารไทยที่เมืองนี้เพื่อมาเจอพี่สาวใจดีและคุณลุงที่น่ารักค่ะ













วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อเมริกาพาเพลิน 3

Pre-Working เตรียมตัวทำงานเป็นเด็กครัว



วันที่สองของการอยู่ประเทศของลุงแซม (เคยมีคนบอกชื่อนี้มาเลยเอามาใช้) เพราะด้วยความที่เมื่อคืนเรานอนเร็วมาก เลยทำให้ตื่นเช้าไปโดยปริยาย รู้สึกว่าตอนนั้นจะตื่นมาประมาณเกือบ 6 โมงได้ แล้วด้วยมันยังมืดๆอยู่เลยนอนเล่นมือถือจน 6 โมงกว่า เราเลยลุกมาอาบน้ำ แปรงฟัน ก็เน่ามาวันสองวันแล้วนิ ตัวไม่โดนน้ำเลย ฮ่าๆๆๆ ... หลังจากเสร็จธุระตัวเองแล้วเลยออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอก เพราะแน่ๆเลย อากาศดีมากกก ถึงมากที่สุด เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ ป่า ต้นสน ต้นไผ่บางประปราย เราเลยออกมาเดินเล่นฆ่าเวลาจนเกือบแปดโมงกว่า เราเข้าที่พักว่าจะมาปลุกเพื่อนให้ไปร้าน แต่ก็เห็นมันนั่งเช็ดผมอยู่ เลยรอมันทำธุระตัวเองให้เสร็จแล้วค่อยออกไปร้านพร้อมกัน
หลังจากที่เราออกจากที่พักเพื่อเดินมาที่ร้าน ทำให้รู้ว่าข้าง Motel เรานั้นมีร้านพิซซ่าอิตาเลี่ยนอยู่ ชื่อร้าน Lobster Italian Pizza มั้งนะ ถัดไปก็เป็นร้าน Marconi's gift & ice cream มันเป็นร้านขายพวกอุปกรณ์เล่นน้ำ เก้าอี้ผ้าใบ ร่มปัก เรือประมาณนั้น ถัดไปอีก็เป็นร้านของปีเตอร์ค่ะ Catch of the day และก็คั่นด้วย SouthFleet Motor Inn ค่ะ เป็น Motel ขนาดกลางๆไม่ใหญ่มาก และถัดไปก็เป็นร้านของเราค่ะ Van Rensselaer's ถ้าถามว่าร้านนี้ใหญ่มั้ย ไม่ใหญ่มากนะค่ะ แต่ก็ไม่เล็ก พื้นที่จอดรถกว้างทีเดียว ... พอเรากับเพื่อนถึงร้าน ไดแอนและปีเตอร์เค้าถึงก่อนแล้วค่ะ กำลังเช็คร้านกันอยู่ เราไม่เห็นปีเตอร์ค่ะ เห็นแต่ไดแอนที่นั่งอยู่หน้า MacBook ที่เค้าท์เตอร์บาร์ เราสองคนเลยเข้าไปทักและแกก็พาพวกเราเดินดูร้านค่ะ เริ่มจากปีกขวาของร้านซึ่งถัดจากเค้าท์เตอร์บาร์มานิดเดียวค่ะ จะเป็นพื้นที่นั่งทานติดกับเตาผิงขนาดใหญ่ สำหรับเอาไว้จัดเลี้ยงงานต่างๆหรือมากันแบบหมู่คณะ ถัดมาตรงกลางร้านจะเป็นทางเข้าร้านที่จะเจอโต๊ะรับแขก เค้าท์เตอร์บาร์ สลัดบาร์และทางเข้าห้องอาหารปีกหน้าและปีกซ้ายของตัวร้านค่ะ

พอหลังจากที่สำรวจพื้นที่ในร้านแล้ว ก็มาลงพื้นที่หลักของเราเลยค่ะ นั่นก็คือพื้นที่ครัว! และเราก็พบปีเตอร์ค่ะกับหนุ่มร่างสูงคนนึง.. ตอนแรกเรากับเพื่อนรู้สึกแบบเดียวกันค่ะ ว่าไม่ชอบอีตานี้สุดๆ หน้าตาไม่เป็นมิตร ไม่ยิ้มและทำหน้าเหมือนมีคนไปเผาบ้านไหม้ตลอดเวลา แต่เขาเป็นพนักงานที่ดีมากค่ะ ปีเตอร์มักจะเรียกนายคนนี้เหมือนลูกคนหนึ่ง นายยิ้มยากคนนี้ชื่อ "Steve" ทุกครั้งที่ปีเตอร์จะทำอะไรจะต้องมีนายคนนี้เข้ามาเอี่ยวทุกครั้ง ทำให้เรากับเพื่อน เบ้หน้า นินทาสตีฟแบบไม่หยุดยั้งทุกวันและทุกเวลา หลายครั้งที่อีดตานี้พยายามบอกเรากับเพื่อนว่า ตำรวจมาที่ร้านและจะมาจับพวกเธอกลับประเทศ ขู่ได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ช่างเขาเถอะ ไม่ได้คิดไรเพราะให้กับความที่ หน้าตาใช้ได้อ่ะนะ ... พอใกล้เวลาร้านจะเปิด พนักงานร้านจะเริ่มมาช่วยกันทำความสะอาดร้าน และเรากับเพื่อนก็ช่วยกันอีกแรง ช่วงเวลานี้ เราเลยได้รู้จักกับ ลิซ่า จอร์นน่า เกรทเช่น ลอร์ร่า เคนดร้า เมเรดิท และเคท ซึ่งพวกนางจะเป็นสาวเสิร์ฟวัยเกือบกลางคนจนถึงเลยกลางคนไปล่ะ พวกนางน่ารักและเป็นกันเองมาก รักเลยตั้งแต่แรกรู้จัก แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ได้รู้จักกับเชฟและผู้ช่วย พวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ทำงานด้วยกันแล้วอยู๋ด้วยกันอย่างมีความสุขมากจริงๆ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เริ่มจากเชฟเลยล่ะกัน..


เชฟคนนี้ชื่อ "เดเร็ค" ค่ะ เป็นเชฟที่เราคิดว่า ทำงานละเอียดและให้ความสำคัญกับอาหารทุกจาน ทุกเมนู และทุกมุมของครัวจริงๆ เดเร็คเป็นคนน่ารักและจริงจังในการทำงานทุกครั้ง แต่พอหลุดจากหน้าที่เท่านั้นแหละ ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกันกับเขาเลยซักนิด เป็นฝรั่งที่รั่วและบ้าในเวลาเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ สามารถดึงเรื่องที่จริงจังที่เครียดๆให้ออกนอกโลกแบบกู่ไม่กลับได้ บางครั้งเวลาที่เราทำงานด้วยจะรู้สึกสบายใจเหมือนได้ทำกับญาติตัวเอง เดเร็คให้เกียรติเรากับเพื่อนในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานได้ดีมาก ช่วยเหลือทุกอย่างในครัว และเป็นคนสอนเรื่องความรู้เกี่ยวกับอาหารและการทำงานร่วมกับฝรั่งในครัว ซึ่งถามว่าต่างจากที่ไทยมั้ย ต่างนะ เดเร็คเป็นผู้ชายที่อายุถึงจะปาไปเกือบจะเลข 5 แล้วก็ตาม แต่เขาชอบทำตัวเองในอายุ 10 ขวบตลอดเวลา ฮ่าๆๆๆ ต่อมาก็เมียเชฟล่ะ,,,



ผู้ช่วยเชฟคนนี้ชื่อ "เบคกี้" ... นางเป็นคนน่ารักนะ ถ้าไม่รวมตอนทำงาน เพราะนางเคร่งเครียด ไม่ผ่อนคลายกับการทำงานหน้าเตาเลยซักครั้ง ขนาดสามีนางขี้เล่นขนาดไหนยังทำให้นางไม่ยิ้มเวลาทำงานได้เลย มือจับที่หนีบปั๊บ วิญญาณคนครัวเข้าสิงทันที เราเคยโดนนางกดดันมาครั้งนึงเรื่อง Lobster นี่แหละค่ะ เป็นครั้งที่เราปวดใจที่สุดจริงๆ แต่คราวหลังเราเพิ่งมารู้ว่าที่นางว่าเราครั้งนั้นเพราะนั้นคืองานที่ต้องเจอตามโรงแรมหรือร้านอาหารในอเมริกา ถ้าเกิดเรายังทำงานอยู่ที่นี้ เบคกี้เวลาไม่ได้ทำงาน นางเป็นสาวปาร์ตี้มากๆนะ เพราะแก็งค์เขาจะมีเคนดร้าและเมเรดิท ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา และชอบไปเล่นโยคะกันริมทะเล ฮ่าๆๆๆ

ที่เราเล่านิสัยของ 2 คนนี้เยอะเพราะเขาสองคนเป็นคนที่เราให้ความสำคัญมากกว่านายจ้างเรานิดหน่อย แต่หลังจากนั้นวันนึง ไดแอนด์ให้เราสองคนพักผ่อนค่ะ ปีเตอร์เลยไปสรรหาจักรยานที่เขาซื้อไว้เผื่อให้คนที่อยู่โมเทลปั่นมาให้เราสองคน ... ทริปแรกของการอยู่เมืองนอก คือเราปั่นไปบีชค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ปั่นไปเกือบครึ่งชั่วโมงจากที่พักจนถึงบีช ... ซึ่งเราคิดว่าใกล้มากสำหรับการปั่นครั้งแรก แต่พอหลังๆมาปั่นแทบจะทุกเช้าและเวลาว่างค่ะ ชินจนลืมไปเลยว่าไกล อากาศดีมาก เพราะข้างทางเป็นป่าสนจนไปถึงลานโล่ง เราชอบการปั่นจักรยานโดยที่ได้เห็นทัศนียภาพแบบนี้นะ


ถ้าเราจำไม่ผิด อันนี้น่าจะเป็นสถานที่พักรถและว่าการให้ข้อมูลท่องเที่ยวล่ะมั้งนะ









และนั่นก็หมดทริปของการ เพราะหมดพลังงานไปกับการปั่นจักรยานนั้นกลับมาที่พักอีก... แต่พอกลับมาที่พักไม่ทันจะฟื้นพลังตัว เรากับเพื่อนก็พากันไปซื้อของกินกันค่ะ และด้วยความที่เราไม่อยากรบกวนปีเตอร์ให้พาไป เลยตกลงพากันปั่นจักรยานคู่ชีพไปตามทางสำหรับปั่นจักรยาน .. ซึ่งเราลืมไปว่าห้างมันอยู่อีกเมืองนึง ถ้าเราปั่นจักรยานนั้นต้องผ่านอีกเมือง เพื่อจะไปถึงเมืองที่มีห้าง เราจำได้เลยว่า เราปั่นจักรยานตั้งแต่บ่ายโมงเกือบบ่ายสองค่ะ ปั่นจากฟ้าที่มีแสงส่องจนหมดแสงเปลี่ยนสีเป็นแดงหม่นเกือบมืด ถ้าจำไม่ผิด น่าจะถึงเมือง Orleans ประมาณห้าโมงเกือบหกโมงเย็น เป็นการปั่นที่ทรหดมากสำหรับเรา เพราะตั้งแต่เกิดมานี่คือการเดินทางที่ยาวมากถ้าไม่นับที่เคยวิ่งมาราธอนตอนประถม .. บอกเลยว่า เหนื่อยและไม่สามารถหาคำอธิบายได้ แต่เราก็เจอสวรรค์ค่ะ!! เพื่อนเราเผอิญเจอร้านอาหารไทยที่อยู่ไม่ไกลจากห้าง แล้วนั่นคืออาหารมื้อแรกถ้าไม่รวมของว่างที่กินในร้านและมาม่าที่ต้มกินในห้องพัก และนั่นเองทำให้เราได้รู้จักลุงคนไทย และพี่สาวใจดีที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่นั้นมาเป็นสิบปี พอลุงรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยเท่านั้น บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจนเรารู้สึกได้ ลุงเป็นกันเองมากและเวลาเช็คบิลก็ให้พี่สาวลดค่าอาหารให้อีกด้วยทุกครั้ง 

หลังจากที่หมดมื้ออาหารนั้น เราเลยถามลุงเกี่ยวกับ bus ที่มารับหน้า Stop&Shop ลุงเลยบอกข่าวร้าายที่สุดคือ มันหมดตั้งแต่ 6 โมงเย็น ซึ่งตอนนั้นมันปาไป 6 โมงจะครึ่งอยู่แล้ว เรากับเพื่อนนิถึงกับเหี่ยวเลยนะ แต่ไหนๆก็พลาดรถแล้ว เราเลยลาลุงกับพี่สาว เพื่อไปซื้อของ ... บอกเลยว่าพอจอดรถและเดินเข้าห้างเท่านั้นแหละ เรากับเพื่อนนิ สติแตกค่ะ เดินซื้อของเหมือนกับห้างจะปิดอีก 5 นาที .... แต่ระหว่างที่เราซื้อของ เราเผอิญเจอเชฟค่ะ แต่คอนนั้นเราบอกตรงๆเลยว่า ไม่ได้สนิทขนาดจะขออาศัยติดรถได้ เลยได้ทำท่าทางเดินผ่านไปผ่านมา และเดเร็คไม่ได้รู้สึกถึงการมีตัวตนของเราค่ะ เศร้ามากกกกก!! ... หลังจากที่เราทำการช็อปปิ้งเสร็จก็ตัดสินใจค่ะ โทรหาปีเตอร์ให้มารับ แม้ว่ามันจะลำบากใจก็เหอะ แต่ถ้าจะให้เราปั่นไปทั้งๆที่มีของเยอะมว๊ากกกกกกกกก็ไม่ไหว และที่สำคัญ ... ต้องปั่นสุสานถึง 2 ที่เดียวกัน คิดว่าเรากับเพื่อนจะบ้าบิ่นมั้ยค่ะ บอกเลยว่าไม่ ฉันลาขาดดด แต่พอเราโทรหาปีเตอร์และบอกเขาเสร็จ ประโยคสุดท้ายเขาตอบเพื่อนเรามาว่า "You're my trouble maker" ถึงแม้ว่าปีเตอร์จะพูดขำ แต่เรารู้สึกผิดค่ะ ... ระหว่างที่ปีเตอร์รับเราขึ้นรถมาแล้ว เขาบอกพวกเราว่า " You make me missed my sweet dinner" เท่านั้น กุรู้สึกผิดเต็มๆเลยจ้าาา,,, พอถึงที่พัก ปีเตอร์ส่งเราเสร็จแล้วบอกเจอกันที่ร้านพรุ่งนี้ 9 โมง และขับรถออกไป .... วันนั้นเป็นวันที่เรากับเพื่อนเหนื่อยลากดินสุดๆพลังไปเลยค่ะทุกคน

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อเมริกาพาเพลิน 2

การมีนายจ้างที่ดี มันก็ดีไปทุกวัน

หลังจากที่เจอปีเตอร์แล้ว เรารู้สึกเลยว่านายจ้างของเราคนนี้มี energy สูงมาก เป็นคนตลกทีเดียว อารมณ์ดี ไม่ค่อยจะชอบอยู่นิ่งเท่าไหร่ เพราะดูจากการพูดคุยระหว่างขับรถกลับเมืองที่เราต้องทำงานนั้น เอ่อ.. จริงๆแล้วเราได้แต่นั่งยิ้มอ่ะนะ ถามคำ ตอบคำ มีแต่เพื่อนเราคุยกับเค้าเท่านั้น จนแกหันมาถามว่าทำไมไม่ยอมคุยกะแก (ตอนนี้เพื่อนเราเงียบค่ะ มันกำลังดูว่าเราจะยอมพูดมั้ย?) เราก็ไม่ยอมพูดค่ะ ได้แต่ยิ้มอีกรอบ ปีเตอร์แกเลยเตือนมาเบาๆว่า ถ้าเราไม่ยอมพูด ใครจะเข้าใจ ผิด ถูกก็ขอให้พูด พูดเท่านั้นจะไร้ปัญหา แล้วแกก็ทำมือเหมือนให้ขยับปาก เราเลยต้องยอมรับและตอบกลับไปว่า "OK" เท่านั้นเลยจริงๆ แล้วแกก็คุยเกี่ยวกับร้านแกค่ะ แกมี Motel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารของแก ชื่อ Ocean pins และนั่นจะเป็นที่พักของเราค่ะ ปีเตอร์กับภรรยาของเค้ามีร้านอาหารที่ทำด้วยกัน 2 ร้านค่ะ คือร้าน Van Rensselaer's และ Catch of the day ซึ่งสองร้านนี้ห่างกันแค่ Motel คั่นกลางแค่ที่เดียวเท่านั้น ร้านแรกแกเปิดมานานแล้วค่ะ ซึ่งมีชื่อเสียงเลยทีเดียวในแถบนั้น และหลังจากนั้นแกเลยขยายร้านโดยเปิดร้านที่ 2 แยกออกมา โดยให้ภรรยาแกดูแลร้านแรกเป็นหลัก และปีเตอร์จะดูแลร้านสองเป็นหลัก แต่ช่วงไหนร้าน Vr's คนเยอะ ปีเตอร์จะเข้าไปช่วยบ้างค่ะ พอคุยกันได้เรื่อยๆ จนใกล้ถึงเมืองที่เราต้องมาทำงานแล้วค่ะ ปีเตอร์เลยแวะเมืองใกล้ๆให้เราได้ซื้อของใช้ส่วนตัวกันก่อน อาหารขนมบ้างส่วนค่ะ 

เมือง Orleans เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่เกือบท้ายๆของแผ่นดินที่ยื่นออกจากตัวรัฐ MA ในส่วนของ Cape Cod bay ค่ะ เพราะแถบนี้จะทำประมงกันส่วนใหญ่เนื่องจากติดกับมหาสมุทรแอตแลนติคค่ะ และสิ่งที่ขึ้นชื่อของอ่าวนี้คือ Lobster ค่ะ กุ้งยักษ์นี่เอง เรามีปัญหาเกี่ยวกับเจ้านี้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกตอนนึงนะค่ะ ที่เมืองนี้จะมีห้างอยู่แค่ T.J. Maxx และ Super Stop&Shop ค่ะ ปีเตอร์จอดพักให้เราทำการซื้อของ และแนะนำว่าที่นี้มีอะไรอร่อยและดีต่อสุขภาพบ้าง เลยทำให้รู้ว่า ตอนนี้แกกำลังควบคุมน้ำหนักตามหมอสั่งอยู่ ฮ่าๆๆ ... หลังจากที่เราจจ่ายเงินกันเสร็จ ปีเตอร์ก็ขับพาเราเข้าสู่เมืองเป้าหมายแล้วล่ะค่ะ เมือง South WellFleet ที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี้เป็นเวลา 2 เดือนนิดๆก่อนจะกลับไทยไปฝึกงานต่อ


รอปีเตอร์เติมน้ำมันค่ะ


พอเข้าสู่เส้นทางที่เราจะไปที่ร้าน Vr's นั้น ระหว่างทางปีเตอร์จะแนะนำว่าที่นี้คืออะไร มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง โดยหลักๆที่เราเห็นตามระหว่างทางนั้นส่วนมากจะเป็นร้านอาหารและ Motel แต่จะมีที่น่าบันเทิงใจหน่อยก็คือ มีโรงหนังที่สามารถขับรถเข้าไปดูได้ชื่อThe Wellfleet Drive-in and Cinemas Complex แต่ก็สามารถดูแบบในโรงได้เช่นกันนะ อีกหนึ่งความภูมิใจที่ผ่อนคลายของเค้าคือ Marconi Beach นั่นเอง ซึ่งหาดนี้มันไม่ไกลจากที่พักเราด้วย ถ้าเกิดปั่นจักรยานนั้นจะใช้เวลา เกือบๆครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้นะ ไม่นานเราก็เริ่มเห็นป้ายที่พักและที่พักเราแล้วค่ะ ปีเตอร์บอกว่า ร้านอาหารก็แค่เดินไปสามนาทีก็ถึงแล้ว ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ว่าค่ะ ใกล้มากจริงๆ ร้าน Vr's ตั้งเยื้องเลยแยกไฟแดง Marconi Beach ไปคืบเดียวค่ะ ร้านอาหารเป็นร้านขนาดกลางไม่ใหญ่มาก ถ้าเทียบกับร้าน Catch of the day 




หลังจากปีเตอร์เลี้ยวเข้าจอดที่ร้าน Vr's แล้ว เค้าบอกว่าให้ไปเจอภรรยาเค้าก่อนเพราะเธออยากเจอเราสองคนว่าเป็นยังไง และถามเหมือนที่แกถาม ซึ่งถ้าตามความรู้สึก แกคงอยากจะสัมภาษณ์เราแบบ Face to Face นะ ปีเตอร์ให้เราสองคนยืนรอแกก่อนแล้วค่อยเข้าไปพร้อมกันเพราะแกต้องถือของที่แกซื้อมาเข้าร้าน เรามองไปรอบๆร้านแล้วรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในแบบครอบครัวและเป็นกันเองอย่างบอกไม่ถูก ปีเตอร์เดินนำเราเข้าไปในร้าน ก่อนจะให้เราทั้งคู่ไปนั่งที่โต๊ะติดกับ เคาท์เตอร์บาร์ ไม่นานปีเตอร์ก็มาพร้อมกับภรรยาของเค้า แถมเจ้าหมาตัวยักษ์เดินตามมาด้วยไม่ห่างตัว เธอแนะนำตัวเองด้วยความเป็นกันเอง แกชื่อ Diane และแนะนำหมาของแกต่อ เราจำชื่อมันไม่ได้ แต่มันเป็นหมาตัวโตที่น่ารักนะ ไม่ดุ ไดแอนบอกว่ามันไม่สบาย มันเลยเงียบๆช่วงนี้ จากนั้นได้แอนน์ก็เริ่มบอกเกี่ยวกับสเขปงานว่าต้องทำอะไรบ้างไว้คร่าวๆและอีกหนุ่งสิ่งคือ ร้านนี้เปิดให้บริการวันที่ 12 เมษา ซึ่งเราทั้งคู่มาก่อนร้านจะเปิด เลยต้องช่วยกันทำความสะอาดร้านและเตรียมความพร้อมให้บริการ แกบอกว่าอีกอย่างว่า หลังจากเสร็จงานตรงนี้นั้นจะพาไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านอาหารไทย เพื่อนของแกที่อยู่เมืองใกล้เคียงกันซึ่งก็คือเมือง Eastham แต่ในวันนั้นแกแค่ให้เรานั่งกินน้ำ เล่นกับหมาแล้วให้เรากลับที่พักเพื่อไปพักผ่อนก่อนจะถึงเวลานัดกันตอนเย็น


ป้ายร้านเรา ใหญ่พอมั้ย? 5555





สังเกตุป้ายสีเขียวๆตรงเสาไฟ เลยไปหน่อยก็เป็นแยกไฟแดงที่ติดกับร้าน Vr's

บรรยากาศอีกฝั่งของร้านค่ะ

Mrs. Diane Elizabeth Hall

Welcome Drink ด้วยน้ำส้มค่ะ อร่อย =)
 
หลังจากแยกจากไดแอนนั้น ปีเตอร์ก็ขับรถพาเรามาที่พักเพื่อที่จะได้เอากระเป๋าเดินทางลง เพราะความคิดเรา ถ้าจะให้แบกมาเอง หลังเดาะกันพอดี .. ปีเตอร์ช่วยเอากระเป๋าลงให้ก่อนจะให้กุญแจที่พักพร้อมกับการ์ดสมาชิกของ Super Stop&Shop มาให้ แล้วแกก็ย้ำอีกทีเรื่องนัดตอนเย็นก่อนจะขับรถออกไปโดยทิ้งให้เราอยู่หน้าห้องพัก ห้องพักของเราจะอยู่ริมสุดของที่พักและจะติดกับห้องซักล้างซึ่งมันเป็น Basement ต้องเดินลงไปข้างล่างถ้าอยากจะซักเสื้อผ้า และมีโทรศัพท์ไว้ให้ มันก็อยู่รวมกันที่ห้องนี้ทั้งหมด เรากับเพื่อนพากันลากกระเป๋าเข้าเก็บในห้องพักทันทีที่ไขกุญแจเสร็จ ห้องก็เหมือนพวกรีสอร์ททั่วๆไปของตามพวกถิ่นท่องเที่ยว ซึ่งโดยรวมแล้วถามว่าชอบมั้ย? มันอยู่ได้ ไม่เดือดร้อน ก็ดี ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยด้วย ห้องพักมีเครื่องอำนวยความสะดวกเกือบครบนะ ถ้าไม่เน้นพวกทำอาหาร เพราะที่นี้มีตู้เย็น เตาไมโครเวฟ ทีวี จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำให้พร้อมแถมน้ำอีก 4 ขวดในตู้เย็นด้วย ... ในตอนแรกที่เห็นเตียง เราแทบอยากจะจมลงไปกับเตียงเลย มันเพลียร่างนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยทำอะไรก็เหอะ ตอนแรกตกลงกันว่าจะจัดของ ไปๆมาๆ พากันหลับไม่รู้เรื่องเลยค่ะ


หน้าห้องพักเราค่ะ หลายเลข 6

เดินออกไปก็ถนนใหญ่แล้ว ข้างๆริมรั้วนั้นก็จะเป็นบ้านพักของเชฟค่ะ






ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานขนาดไหน มารู้ตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอกค่ะ ทำให้ได้รู้เลยว่า นี่มันกลางคืนแล้ว เราเดินลงจากเตียงด้วยความงัวเงียไปเปิดประตู สิ่งที่เห็นคือปีเตอร์ก้มลงมามองหน้าแล้วถามว่า ยังจำนัดของเราได้มั้ย? ตอนนั้นสติฉันยังกลับมาไม่ครบร้อยหรอกค่ะ สักแต่ว่าจะไปนอนต่อ เลยตอบแกไปว่า ลืม! ปีเตอร์ขมวดคิ้วแล้วถามกลับว่าไปไหวมั้ย? หรืออยากนอนพักต่อ ไอ้เราก็มองหน้าแกสลับกับหันไปดูเพื่อนที่นอนมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและคงยังไม่รู้เรื่องว่านายจ้างมาตามไปกินข้าว ... และเราก็หันกลับมาตอบอปีเตอร์อีกครั้งว่า ขอนอนต่อแล้วกัน รู้สึกยังเพลียอยู่ เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะบอกให้เราปิดประตูล็อกกลอนแล้วขับรถออกไป ... ตอนนั้นเรารู้สึกแย่นะ แต่ด้วยความที่อยากนอนมันมากกว่า เลยต้องเชื่อฟังคำพูดผู้ใหญ่ทันที ปิดประตู ล็อกกลอน แล้วเดินกลับมานอนที่เตียงแบบเดิม!! 

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อเมริกาพาเพลิน 1

เมืองแห่งความหนาวเหน็บในชีวิต

หลังจากที่นั่งเครื่องบินมา 3 ครั้ง Bangkok Narita Dallas Boston ความรู้สึกมันเหมื่อยและทรมานร่างสุดๆเลย เรื่องนอนหลับเราโอเคนะ แต่มันนั่งไง ตะคริวเกือบรับประทานไปทั้งตัวล่ะตอนลงเครื่องครั้งสุดท้าย พอเท้าได้ก้าวออกมาจากประตูเครื่องบินเท่านั้น ไอความเย็นมันปะทะหน้าเลย ขนลุกไปทั้งหลังเลยจ้าาา หนาวมากกก ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะลงเครื่องตอนตี 2กว่าๆ ด้วยความหนาวถึงหนึ่งองศาแบบแห้งๆ ไม่ได้ชื้นแบบเมืองไทย เล่นเอาปากแห้งแตกเลยทีเดียว เสื้อกันหนาวผ้าร่มขนเป็ดมีประโยชน์ก็คราวนี้ล่ะ .. ที่สนามบินเงียบมากหลังจากที่เรากับเพื่อนเอากระเป๋าใส่รถเข็นเรียบร้อยแล้ว จริงๆที่เอเจนซี่ก็แนะนำให้ไปนอนที่โรงแรมแถวนั้นแล้วค่อยนั่งแท็กซี่ออกมาตอนเช้า แต่ก็นะ คือมันใกล้เช้าแล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วต้องขึ้นรถไปเมือง Barnstable ที่นัดกับนายจ้างรอบเจ็ดโมงให้ทัน ไม่งั้นรออีกนานแน่ๆ

เป็นหมีขั้วโลกเลยยยยยย

เราสองคนเลยตกลงกันว่า นอนที่สนามบินกันเนี่ยแหละ หนาวๆกันอยู่อย่างนี้แหละ คนก็นอนกันเยอะแยะไป เลยตัดสินใจเข็นรถหนีพี่แท็กที่ยืนรอโบกมือโบกไม้อยู่ข้างนอกทันที เราขึ้นไปนอนชั้นสองของตัวสนามบิน พอหาที่ที่พอจะทิ้งตัวลงนอนได้ก้เข็นรถเข้ามุม แต่ยังไงล่ะ สงสัยก๊อกสุดท้ายมันกำลังจะมา แล้วคนยิ่งไม่มีด้วย เราเลยปล่อยเพื่อนนั่งเล่นมือถือคุยกับเพื่อนที่ไทยอยู่คนเดียวแล้วก็เดินหนีบไปเข้าห้องน้ำทันทีทันใด




ตีสามกว่าๆ .. อากาศเริ่มเย็นลงอีกระรอก เรากับเพื่อนก็นั่งๆนอนๆ หลับก็ไม่ลงเพราะเต็มตื่นไปกับบนเครื่องแล้ว ตอนนี้ตาสว่างสุดๆ เราเลยขอยืมโน้ตบุคเพื่อนเล่นเพื่อนจะคุยกับทางบ้านว่ามาถึงแล้ว ถ้าจะถามว่าทำไมไม่เอาของตัวเองมา .. มันเสีย! จบปึ๊งง!! คุยกันไปเรื่อย อากาศก็หนาว บรรยากาศก็เงียบ จนถึงตอนเกือบตีสี่ครึ่ง เราสองคนเลยมานั่งติดกันว่าจะหาทางติดต่อกับนายจ้างยังไง? (= =?) คิดกันตลบไปตลบมา เลยได้ความว่า ส่งเมลไปหาแล้วกัน เพราะเกี่ยงกันจะโทรคุย พอส่งปุ๊บก็ร่าเริงปั๊บเลยค่ะ รอรถมาอย่างเดียว




ตีห้าเกือบหกโมงเช้า... เอาแล้ว เรากับเพื่อนมานั่งคิดกันอีกรอบว่า นายจ้างเค้าจะอ่านเมลป่าวหว่า.. ?ผลสรุปสุดท้ายก็ต้องโทรหาและให้เพื่อนนั่นแหละคุย เพราะอย่างน้อยมันเรียนเอแบค มันน่าจะฟังรู้เรื่องมากกว่า ...พอคุยกับนายจ้างเรียบร้อย เราก็มานั่งรอรถบัสเที่ยวแรกที่จะไปถึงที่ Barnstable ให้ทัน จนเวลามันล่วงเลยมาค่อนข้างจะนาน เกือบเจ็ดโมง เพราะระหว่างนั้นเรากับเพื่อนเทียวถามกับเจ้าหน้าที่สนามบิน จนแกคงจะแบบ อีเด็กหัวดำนี่อะไร ถามอยู่นั่นแหละ ... 


ที่ภาพสั่นไม่ใช่อะไร มือพยายามกดชัตเตอร์อยู่

ต่างคนต่างนิ้วแช่แข็ง

พอเวลาล่วงได้เจ็ดโมงกว่า เราออกมาท้าความหนาวอยู่ข้างนอก ลากกระเป๋ามานั่งที่ป้ายรถบัส .. และแล้วนางก็มา รถมาแล้ววว ... รถจอดสนิท เราสองคนวิ่งกันทุลักทุเลกับกระเป๋าใบโต เป้สะพายฝ่าลมหนาวไปขึ้นรถบัสที่จะมีคนขับรถลงมาเอากระเป๋าเก็บที่ท้องรถให้ .. จะว่าไปคนที่นี้น่ารักดี มีมารยาทให้กับผู้ให้บริการดีมาก ชอบล่ะตั้งแต่มา ,,, จากนั้นเราก็ได้ขึ้นรถซักที แล้วเราก็จ่ายเงินและหลับไป .. พอรถวิ่งไปนานจนกระทั่งเราสองคนสะดุ้งตื่น ก็เหลือแค่สถานเดียวที่จะต้องลงรถ ตื่นเต้นมากตอนนั้น เพราะไม่เคยคิดจะต้องมาทำอะไรด้วยตัวเองในต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ ในที่สุดรถก็มาถึงเมือง Barnstable แล้ว ลงจากรถก็มีพี่คนขับแกเดินลงมาช่วยเอากระเป๋าลงให้แล้วก็จากไป ,,, แล้วยังไงต่อ? เห็นโทรศัพท์สาธารณะก็เลยจะโทรไปหานายจ้างอีกครั้งและเพื่อนมันก็ย้ำว่า "มึงโทรบ้างเลย เพราะกูโทรแล้ว" น่ารักป่ะล่ะเพื่อนฉัน! มือกำลังจะจับล่ะ ซักพักได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง

"Hey Girls! i come to pick up you" 

และนี่คือเสียงของชายวัยกลางคนตัวสูงพุงใหญ่เดินมาพร้อมรอยยิ้มแล้วทักทายเราด้วยความยินดี เค้าคือ Peter Hall! นายจ้างฝั่งชายของเรานั่นเอง!

Mr. Peter Hall