ก่อนวันเปิดร้านนึงวัน เรากับเพื่อนก็มาทำความสะอาดร้านเป็นปกติ แต่วันนี้มันต่างตรงที่ว่า นอกว่าสาวเสิร์ฟมีอายุแล้ว คนที่คิดว่าอายุน่าจะมากกว่าไม่เยอะอย่างสตีฟ ปีเตอร์รับคนที่เข้ามาทำในครัวอีก 1 คนชื่อ "Colton" เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูอวบน่ากอดดีในความคิดเราตอนนั้น แต่หลังจากนั้นเราเพิ่งรู้จากสตีฟว่าโคลตันมีแฟนและเหมือนทะเลาะจนต้องมีอันเลิกกัน และวันนั้นฉันก็ได้เพื่อนใหม่อีก 2 คนที่จะทำงานเสิร์ฟ ชื่อ "สเตฟาน" และจูลี่ แต่ถ้าจำไม่ผิด เราทำงานกับสเตฟานทุกกะ แต่กับจูลี่ เราเจอตอนนางทำช่วง breakfast อย่างเดียว ... แต่พอเราได้รู้จักกับ 3 คนนี้ ความรู้สึกมันต่างอย่างลิบลับกับสตีฟเลยแหละ ของโคลท์นั้น แว่บแรก เรารู้สึกว่าไอเด็กนี้ดูมั่นใจตัวเองดี และเหมือนจะซื่อแต่แอบร้ายลึก เพราะเราสัมผัสหลังจากนั้น ส่วนสเตฟาน ภายนอกเหมือนฝรั่งเนิร์ดที่มีหน้าตาดีและสูง แต่พอรู้จักเท่านั้น ใครเคยเห็นพวกฝรั่งที่แบบเนิร์ดๆ นิสัยประหลาดๆ พูดเหมือนมีหลักการตลอดเวลา ถ้าตามในหนังคือคนที่แอบชอบนางเอกตามหนังวัยรุ่นเลย พอรู้จักกันมากขึ้น สเตฟานเป็นคนน่ารักมากนะ ไนซ์และช่วยเหลือเราตลอด ถึงแม้จะตามแบบเด็กเนิร์ดก็ตามเหอะ หลักการสุดๆ เรากับเพื่อนเคยคิดเลยนะว่ากลับบ้านไป มันเป็นหุ่นยนยต์ที่มีคนบังคับข้างในหรือป่าว ดูแบบแข็งๆทื่อๆเนียบๆชอบกล ส่วนจูลี่ ไม่ค่อยได้คุยกับนางเท่าไหร่ เพราะเวลาเราทำงานช่วงเช้านั้น นางเสิร์ฟ แต่เราล้างจานและเตรียมของ แล้วก็ทำแพนเค้กอยู่ในครัวกับสตีฟและโคลท์ ส่วนเพื่อนเราก็เสิร์ฟด้วยแต่นางไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่... พอบ่ายกว่าเราก็รู้จักพี่มืด พี่เลี้ยงชาวจาไมก้า อายุ 34 ที่เราคุยกับพี่แกแล้วเหมือนฟังเพลง rap ตลอดเวลา ฮ่าๆๆ พี่แกชื่อ "Andrew" และคนนี้เราคิดว่าเขาสำคัญพอๆกับเชฟทีเดียว เพราะเวลาเรากับเพื่อนอยู่ในครัว แอนดรูวจะช่วยเหลือคอยถามตลอดเวลา
เราขออธิบายการทำงานของเราก่อนนะ เพราะหลังจากเรายืดยาวว่าไปเจอใครมาบ้าง .... ในตอนแรกที่เราตกลงกับทางปีเตอร์นั้นว่าตำแหน่งเรากับเพื่อนจะคนละอย่างกัน ของเราเป็นตำแหน่ง kitchen staff และเพื่อนเราเป็น Bussy (ถ้าผู้ชายเห็นเค้าเรียกกันว่า Busser) แต่พอเข้าจริงๆแล้ว ได้ kitchen staff ทั้งคู่ แต่เราจะโดนให้ไปเป็น bussy อยู่ประมาณอาทิตย์นึงในช่วงกะเย็น เพราะแอบได้ยินปีเตอร์คุยกับเบคกี้เรื่องตารางงาน ปีเตอร์อยากให้เรารู้จักกับการทำงานนอกครัวและในครัวว่ามันต่างกันยังไงเพราะเราเรียนอาหารมา และประเด็นสำคัญ แกอยากให้ลูกค้าเจอกับเรา เนื่องจากหน้าเราเวลายิ้ม มันสดใสและน่าจะรับแขกได้ดี (ฉายาเราที่อยู๋ในร้านและเวลาอยู่ที่นั้น ถ้าไม่เรียกเราว่า Mail call ก็จะเป็น Sunshine) ซึ่งมันหนักสุดๆเพราะร้านคนอย่างกะหนอน เพื่อนเราล้างจานและจัดเสิร์ฟขนมจนบางทีเสิร์ฟขนมผิดยังมีเลย ใครที่บอกว่างานที่อเมริกาจะเรื่อยๆไม่หนักมาก เราค้านนะ เพราะเล่นเอาเรากลับบ้านไป นอนตายเป็นศพทุกคืน!! งานของเรากับเพื่อนจะไม่ต่างกันมานัก เพราะส่วนใหญ่จะทำเหมือนๆกัน แต่เราจะหนักไปทางทำครัวเยอะหน่อย แต่ถ้าโดยรวมแล้วหน้าที่ที่เราทำจริงๆคือ ทำมันทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเท่าที่ร้านอาหารจะมีงานให้ทำ แม้กระทั่งไปถอนหญ้าตรงลานจอดรถ เรายังทำมาแล้ว ตำแหน่งที่เราไม่เคยได้ทำในร้านนั้นคือ แคชเชียร์และบาร์เทนเดอร์ เพราะนั่นคือหน้าที่ของเคนดร้าและลอร์ร่าค่ะ
ถ้าแยกแล้วช่วงเช้านั้น เราจะทำความสะอาดร้านอ่ะ ทำตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 2 งานที่ทำคือ เช็ดโต๊ะ เก้าอี้ เซ็ทโต๊ะ เติมน้ำมันมะกอก เช็ดแก้วครอบตะเกียง ล้างห้องน้ำ เช็ดพื้นบาร์ เติมแก้วไวท์ที่บาร์ เติมกระดาษและผ้าเปียกตามจุดของร้าน ดูดฝุ่นร้าน อันนี้ต้องทำเช้าและหลังร้านปิดค่ะ ซักผ้าเช็ดปาก พับผ้า เซ็ทรางสลัดบาร์ ล้างจานจากที่เหลือจากร้านปิด อาจจะมีถอดหญ้าตามลานจอดรถและรอบๆร้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่คือต้องคอยกวาดเศษใบไม้รอบๆร้านเสมอและทุกวัน ส่วนช่วงเย็น จะทำตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มและบางวันอาจจะลากถึง 5 ทุ่มเลยนะ ในครัวเรามีหน้าที่หลักๆสุดเลยคือ ล้างจานค่ะ นี่คือ My station แบบใครเข้ามาตรงนี้ต้องผ่านการสแกนพวกเราก่อน ฮ่าๆๆ เว่อร์ไป,,, ต่อไปคือการจัดเสิร์ฟของหวานค่ะ บางทีเราล้างๆจานอยู่ ออร์เดอร์มาแบบไม่หยุดเลยจากที่เคยถอดถุงมือยางทุกครั้ง ตอนนั้นเราไม่เคยถอดอีกเลย เสียเวลา แต่พออยู่ไม่ถึงเดือน เดเร็คอยากให้เราทำอย่างอื่นบ้าง เลยให้เราได้ทำในส่วน Starter menu หน้าที่ส่วนใหญ่จะทำสลัด ทอดทันเดอร์ชิคเก่น ทอดปลาหมึก และการทำ Side dish ให้กyบเชฟที่ประจำที่ตรงส่วนของ Pasta ... และตรงจุดนี้เองที่ทำให้เราต้องเจอกับ Lobster ซึ่งคนที่นั้นเวลาทำของสด คือของต้องสด นั่นคือมีชีวิตและใหม่ แล้วเราเองคือเกิดมาไม่เคยฆ่าสัตว์เป็นๆ (ถ้าไม่นับตอนเป็นเด็กที่ตอนนั้นยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเลยด้วยซ้ำ) เบคกี้บังคับให้เราเอามีดสับ Lobster ทั้งๆที่มันยังไม่ตาย เราไม่กล้าและตอนนั้นจำได้เลยว่า หน้าเราถอดสีและเบคกี้หน้าแบบไม่พอใจ พอนางทำเสร็จและวางจากออร์เดอร์ นางก็ว่าเราเรื่องนี้ทันที .. และนั้นก็กลายเป็นว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ เราต้องค่อยภาวนาในใจแล้วลงมีดทุกครั้ง ...
แล้วเสาร์อาทิตย์ จะมีช่วง Breakfast เราก็ต้องมาช่วยงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า ส่วนมากเราอยากล้างจานมากกว่า แต่สตีฟชอบบังคับให้เราทำแพนเค้กและทอด Home Fried (มันฝรั่งหั่นเต๋าอบและค่อยมาทอดอีกครั้งก่อนเสิร์ฟ) ส่วนโคลท์มักจะใช้เราหั่นผักเพื่อทำ Side dish สำหรับอาหารตอนช่วงเย็น และถ้าว่าง เขาจะให้เราทำวาฟเฟิลแทนเพื่อนที่เขาจะไปทำอีกหน้าที่นึง บอกเลยว่า พอทำงานกับสองคนนี้ เราเหมือนพี่เลี้ยงเด็กอ่ะ เพลงที่เปิดในครัวก็จะร็อคและเมทัลสุดพลัง .... (เราอาจจะไม่มีรูปของ 2 คนนี้นะค่ะ เพราะเวลาทำงานส่วนมากจะไม่มีเวลาได้หยิบกล้องเลย)
จากตรงที่เรายืนถ่ายคือ station ที่เราทำอาหาร Starter ค่ะ ถัดไปเป็น Pasta และ Steak สุดท้ายคือ ที่จัดของหวานค่ะ
พอเริ่มเปิดร้าน อย่างแรกเลย ปีเตอร์ให้เราเป็น Bussy ค่ะ ทำคู่กับสเตฟานสองคน และปีเตอร์จะให้เราผลัดเข้าไปช่วยเพื่อนล้างจานด้วย อาจจะไม่ทั้งหมด เพราะเวลาเราเข้ามาไม่ถึงสามนาที ไดแอนด์ชอบไล่เราออกไปหน้าร้านทุกครั้ง สเตฟานก็เหน็บเราเรื่องนี้ตลอด เราเห็นใจเพื่อค่ะ เพราะมันต้องทำคนเดียว จานก็ทะยอยมาไม่หมดซักที ไหนจะต้องล้างช้อนส้อม ขัดกระทะ หม้อ จานย่างสเต็ค เก็บจานที่ล้างเสร็จแล้ว คัดแยกช้อนส้อมและมีดที่ล้างเสร็จแล้วอีก ตอนนั้นเราสงสารเพื่อนเลยค่ะ แต่เกือบทุกครั้งที่เราจะเข้าไปช่วย เราจะเจอสตีฟยืนขัดหม้อ กระทะแทนเพื่อนตลอด ส่วนโคลท์นั้น เดเร็คให้ช่วยแอนดรูวเพราะหลังจากนั้นอาจจะต้องให้ทำด้วยกันในช่วง summer ค่ะ เพราะเวลานั้นมันคนเยอะจนในครัวแทบจะไม่มีที่เบียดตัวทีเดียว ... สตีฟเป็นคนเดียวที่มักจะมาคอยช่วยงานเราเสมอถ้าเขาหมดออร์เดอร์ แต่ถึงยังไง ในสายตาพวกเรา เขาเป็นคนที่ไม่เป็นมิตรแม้ว่าจะช่วยงานตลอดก็ตาม
ิหลังจากร้านปิด เราต้องคลีนทุกอย่างเช่นกัน เรากับสเตฟานจะผลัดกันดูดฝุ่นคนละโซนร้าน และคลีนโต๊ะ ก่อนจะได้กินมื้อค่ำที่เชฟเขาทำออร์เดอร์ไว้ให้ และเรื่องทิป อันนี้น่าสนใจ นอกจากค่าจ้างที่ได้ตามขั้นต่ำของแต่ละตำแหน่งแล้ว พอเราเป็น Bussy ค่าจ้างจะน้อย แตะทิปที่ได้ในแต่ะละวัน ที่เราได้ จะอยู่ที่ 50 - 70 เหรียญต่อวัน แต่ถ้าทำ kitchen staff ทิปจะไม่ได้เพราะเรทขั้นต่ำจะเยอะกว่าตำแหน่ง Bussy อยู่แล้ว ... ผ่านไปอาทิตย์แรกไป เราแทบจะไม่ได้นั่งหรือได้เข้าครัวเลย จะได้ช่วยเพื่อนก็ต่อเมื่อวันนั้นเป็นช่วง Slow night จริงๆ เพราะทั้งช่วงเย็นนั้น เราต้องคอยเดินเติมน้ำ เก็บจาน เติมช้อนส้อมมีด เซ็ทโต๊ะ ทำซีซาร์สลัด คอยดูสลัดบาร์ อะไรใกล้หมดก็ต้องเรามาเติม ยื่นตรงเค้าท์เตอร์หน้าร้านบ้างถ้าอยู่ใกล้ปีเตอร์จะให้ยิ้มต้อนรับลูกค้าตลอดถ้ามีโอกาส เติมทิชชู่ในห้องน้ำ จนพอปีเตอร์รับเด็กใหม่มาเพิ่ม ก็จะให้เรามาทำงานในครัวเหมือนเดิม แต่เด็กใหม่ที่ทำในช่วงเย็นนั้น คือ "Rose" และ "Odessa" แต่เรากับเพื่อนจะสนิทกับโรสมากกว่าโอเดสซ่า เพราะ โอเดสซ่านางติ๊สเกิน เลยไม่ค่อยได้อยู่คุยกับเราเท่าไหร่เวลาร้านเลิก เพราะความที่ว่าทุกคนทำงานของตัวเองเสร็จเมื่อไหร่จะต้องมากินมื้อค่ำด้วยกันที่เค้าท์เตอร์บาร์ของร้าน ...
เงินนี้เป็นทิปก้อนแรกของเรา รู้สึกน่าจะได้ 53 เหรียญมั้งนะ
หลังจากจบอาทิตย์แรกของการทำงาน ปีเตอร์ชวนเราไปงาน Easter ที่บ้านของเขา โดยแอนดรูวก็ไปด้วย เราได้รู้จักกับครอบครัวของปีเตอร์ ทุกคนเป็นคนน่ารักมาก อัธยาศัยดีเกินคาด และที่สำคัญเป็นครอบครัวที่อารมณ์ดีมาก ปีเตอร์มีหลานตัวน้อยชื่อ "แม็กไกว" เป็นเด็กน่ารักน่าหยิกมาทีเดียว ครั้งแรกที่เห็น เราหลงรักเด็กคนนี้เต็มๆเลยค่ะ นอกจากแม็กไกวก็มีหลายชายอีกสองคน และหลานสาวอีกหนึ่ง รวมไปถึงลูกของพี่ชายปีเตอร์อีก 3 คนที่ไม่ได้กลับมางานด้วย พอถึงมื้ออาหาร ทุคนประจำโต๊ะและจานแรกที่วาง คือสเต็กเนื้อ แต่เราไม่กินเนื้อเลย เราไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าทำไมหลังจากขึ้นมอปลายมา เราไม่กินเนื้อไปเฉยเลย ที่บ้านไม่ได้นับถือเจ้าแม่กวนอิมนะ เรารู้สึกว่าได้กลิ่นหรือกินเข้าไปแล้ว มันจะอ้วกและปวดตัวมาก เราบอกปีเตอร์มีแบบอื่นมั้ย เพราะเราไม่กินเนื้อ เขาทำหน้าแบบเหมือนจะไม่มี ปีเตอร์เลยสลับจานของเขาให้เรา เพราะเป็นเนื้อหมู และนี่ก็อีก 1 อย่างที่เรารู้สึกดีกับนายจ้างคนแรกของเรา และปีเตอร์ยังให้ช็อกโกแลต Easter ของเขาให้เราอีกถุง แต่เพื่อนเราไม่ได้นะ ฮ่าๆๆ .... หลังจากวันงานจบไป เราก็เริ่มวิถีชีวิตของการทำงานในครัวแล้วค่ะ
ภาพนี้เป็นรูปสามพี่น้องตระกูล Hall ค่ะ เรายังหานายจ้างเราไม่เจอเลย ฮ่าๆๆ
เห็นลิบๆมั้ย? เจ้าหนูแม็กไกวค่ะ
รูปนี้น้องร้องอยากกินช็อคโกแลตแต่ปีเตอร์ไม่ให้ค่ะ น้ำตาปริ่มเลย
พอเข้าสู่การทำงานในครัว เราจะประจำที่ทันที เพราะงานทำความสะอาดช่วงเช้าเรากับเพื่อนจะสลับกันทำคนละวันค่ะเลยขอข้ามช่วงเช้าไปนะค่ะ ทุกเย็น เราถ้าเป็นช่วงจันทร์ถึงศุกร์ เรากับเพื่อนก็สลับกันทำเหมือนกันค่ะ เพราะคนไม่เยอะเท่าที่ควรหรือ เข้าพร้อมกันแต่คนละเวลา แต่เสาร์อาทิตย์เท่านั้นที่ทุกคนในครัวจะมากันครบ เนื่องจากฝรั่งชอบกินข้าวนอกบ้าน คนเยอะแบบ โต๊ะไม่พอ เราทำออร์เดอร์ไม่ทัน ทำผิดเมนูก็เคย โดยเชฟกินไส้ตลอด ฮ่าๆๆ ถ้าถามว่าทำงานแบบนี้มันสนุกตรงไหน เราบอกได้เต็มปากเลยนะว่า เพื่อนร่วมงานและนายจ้างที่ดี เพราะถ้าเขาใจกับเรามากแค่ไหน เราก็ใจเขามากเท่านั้น ในหนึ่งอาทิตย์นั้น เราทำงาน 6 วันและได้วัน off ประจำคือวันอังคาร เบคกี้จะจัดให้เรากับเพื่อนหยุดตรงกันเพื่อจะได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน และหน้าที่ล้างจานในวันนั้น แน่นอนว่าต้องตกเป็นของสตีฟแน่นอนอยู่แล้ว เขาเคยบอกเราว่า เครื่องล้างจานเป็นแม่ของเขาในครัว เขารักงานนี้ตั้งแต่ทำงานมา เราก็ เออๆ ชอบมากก็มาทำแทนตลอดเลยได้ป่ะล่ะ? ฮ่าๆๆ และวันไหนที่เราได้ทำงานคนเดียว ก็จะมีสตีฟเนี่ยแหละ คอยช่วยเหลือ ส่วนโคลท์จะช่วยบ้างเป็นบางอย่าง ไม่เท่ากับสตีฟทำเท่าไหร่ หลายครั้งที่ฉันปล่อยให้เขาล้างจานคนเดียว รู้สึกหมั่นไส้ที่ตอนแรกแกล้งจะเอาตำรวจมาจับส่งกลับประเทศนี่หน่า
และพอใกล้เข้าอาทิตย์ของสิ้นเดือน ไดแอนด์จะเสริมงานช่วงเช้าคือ Breakfast time ถ้าทำไม่ผิดจะตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงเที่ยงตรงมั้งนะ เราต้องแหกตาตื่นมาก่อนหกโมงเพื่อมาอาบน้ำไปทำงาน จริงๆมันจะไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลย ถ้ามันไม่หนาวเข้าไส้น่ะ ขนาดเดือนเมษานะ หนาวขนาดเราต้องห่มผ้าสามชั้นอ่ะ ฮีทเตอร์ก็เอาไม่อยู่จริงๆตอนนั้น ... เวลาเข้างานช่วงนั้น เราต้องทำงานกับสตีฟและโคลท์ ส่วนเพื่อนเรา นางได้เป็น Bussy ค่ะ ฉํนทำงานล้างจานไป แต่จะมีบางช่วงที่ โคลท์จะให้ฉันเตรียมผัก Side dish สำหรับช่วงเย็น เวลาทำงาน 2 สองคนนี้มักจะเข้ามาวุ่นวายกับเราแทบทุกเวลาที่มีโอกาส คือไม่มีออร์เดอร์งานนั่นเอง ยั่วโมโหบ้าง แกล้งใช้งานบ้าง บางทีฉันทนไม่ไหว ก็จะเอามีดที่หั่นผักชี้หน้าด่าประจำ (จริงๆไม่ควรทำแบบนี้ในครัวนะค่ะ ถ้าคนเยอะๆ มีเสียบมดด้ามแน่ๆ) เวลาเราหั่นหอม ไอระเหยมักทำน้ำตาไหลตลอด สตีฟกับโคลท์จะชอบตกใจเวลาน้ำตาเราไหล ก่อนจะหัวเราะซ้ำกับความโก๊ะของเรา ... เฮ้ออ เด็กน้อยสองคนนี้ มันทำให้เราปวดหัวเวลาทำงานตริงๆนั่นแหละนะ งานส่วนใหญ่ในช่วงนี้เราจะหมดไปกับการล้างจาน อาจจะมีทำแพนเค้กบ้างถ้าสตีฟบังคับ ทำวาฟเฟิลบ้างถ้าโคลท์อยากทำแพนเค้ก หรือถ้าไม่มีออร์เดอร์เลย เราสามคนก็รั่วกันในครัวนั้นแหละค่ะ ฮ่าๆๆ ... พอในช่วงวันเดย์ off เรากับเพื่อนมักจะชอบออกไปช็อปปิ้งที่เมือง Orleans เพราะมีห้าง แต่คราวนี้เรานั่งบัสไปค่ะ โดยโทรเรียกให้จอดรับที่หน้าหน้า Catch of the day และจอดลงที่นั้นตามเดิมค่ะ
ภาพที่เราถ่ายมาจะเป็นช่วงทางเดินรอบๆเมืองแถวๆห้างค่ะ และเราชอบบรรยากาศเมืองเที่ยวที่นี้สุดๆค่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมฝรั่งถึงชอบเดินเท้ากันจัง ทุกครั้งที่พวกเราหยุดก็จะมาเดินเที่ยวที่เมืองนี้ซะส่วนใหญ่ ไม่ก็มากินข้าวที่ร้านอาหารไทยที่เมืองนี้เพื่อมาเจอพี่สาวใจดีและคุณลุงที่น่ารักค่ะ



















































