วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อเมริกาพาเพลิน 3

Pre-Working เตรียมตัวทำงานเป็นเด็กครัว



วันที่สองของการอยู่ประเทศของลุงแซม (เคยมีคนบอกชื่อนี้มาเลยเอามาใช้) เพราะด้วยความที่เมื่อคืนเรานอนเร็วมาก เลยทำให้ตื่นเช้าไปโดยปริยาย รู้สึกว่าตอนนั้นจะตื่นมาประมาณเกือบ 6 โมงได้ แล้วด้วยมันยังมืดๆอยู่เลยนอนเล่นมือถือจน 6 โมงกว่า เราเลยลุกมาอาบน้ำ แปรงฟัน ก็เน่ามาวันสองวันแล้วนิ ตัวไม่โดนน้ำเลย ฮ่าๆๆๆ ... หลังจากเสร็จธุระตัวเองแล้วเลยออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอก เพราะแน่ๆเลย อากาศดีมากกก ถึงมากที่สุด เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ ป่า ต้นสน ต้นไผ่บางประปราย เราเลยออกมาเดินเล่นฆ่าเวลาจนเกือบแปดโมงกว่า เราเข้าที่พักว่าจะมาปลุกเพื่อนให้ไปร้าน แต่ก็เห็นมันนั่งเช็ดผมอยู่ เลยรอมันทำธุระตัวเองให้เสร็จแล้วค่อยออกไปร้านพร้อมกัน
หลังจากที่เราออกจากที่พักเพื่อเดินมาที่ร้าน ทำให้รู้ว่าข้าง Motel เรานั้นมีร้านพิซซ่าอิตาเลี่ยนอยู่ ชื่อร้าน Lobster Italian Pizza มั้งนะ ถัดไปก็เป็นร้าน Marconi's gift & ice cream มันเป็นร้านขายพวกอุปกรณ์เล่นน้ำ เก้าอี้ผ้าใบ ร่มปัก เรือประมาณนั้น ถัดไปอีก็เป็นร้านของปีเตอร์ค่ะ Catch of the day และก็คั่นด้วย SouthFleet Motor Inn ค่ะ เป็น Motel ขนาดกลางๆไม่ใหญ่มาก และถัดไปก็เป็นร้านของเราค่ะ Van Rensselaer's ถ้าถามว่าร้านนี้ใหญ่มั้ย ไม่ใหญ่มากนะค่ะ แต่ก็ไม่เล็ก พื้นที่จอดรถกว้างทีเดียว ... พอเรากับเพื่อนถึงร้าน ไดแอนและปีเตอร์เค้าถึงก่อนแล้วค่ะ กำลังเช็คร้านกันอยู่ เราไม่เห็นปีเตอร์ค่ะ เห็นแต่ไดแอนที่นั่งอยู่หน้า MacBook ที่เค้าท์เตอร์บาร์ เราสองคนเลยเข้าไปทักและแกก็พาพวกเราเดินดูร้านค่ะ เริ่มจากปีกขวาของร้านซึ่งถัดจากเค้าท์เตอร์บาร์มานิดเดียวค่ะ จะเป็นพื้นที่นั่งทานติดกับเตาผิงขนาดใหญ่ สำหรับเอาไว้จัดเลี้ยงงานต่างๆหรือมากันแบบหมู่คณะ ถัดมาตรงกลางร้านจะเป็นทางเข้าร้านที่จะเจอโต๊ะรับแขก เค้าท์เตอร์บาร์ สลัดบาร์และทางเข้าห้องอาหารปีกหน้าและปีกซ้ายของตัวร้านค่ะ

พอหลังจากที่สำรวจพื้นที่ในร้านแล้ว ก็มาลงพื้นที่หลักของเราเลยค่ะ นั่นก็คือพื้นที่ครัว! และเราก็พบปีเตอร์ค่ะกับหนุ่มร่างสูงคนนึง.. ตอนแรกเรากับเพื่อนรู้สึกแบบเดียวกันค่ะ ว่าไม่ชอบอีตานี้สุดๆ หน้าตาไม่เป็นมิตร ไม่ยิ้มและทำหน้าเหมือนมีคนไปเผาบ้านไหม้ตลอดเวลา แต่เขาเป็นพนักงานที่ดีมากค่ะ ปีเตอร์มักจะเรียกนายคนนี้เหมือนลูกคนหนึ่ง นายยิ้มยากคนนี้ชื่อ "Steve" ทุกครั้งที่ปีเตอร์จะทำอะไรจะต้องมีนายคนนี้เข้ามาเอี่ยวทุกครั้ง ทำให้เรากับเพื่อน เบ้หน้า นินทาสตีฟแบบไม่หยุดยั้งทุกวันและทุกเวลา หลายครั้งที่อีดตานี้พยายามบอกเรากับเพื่อนว่า ตำรวจมาที่ร้านและจะมาจับพวกเธอกลับประเทศ ขู่ได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ช่างเขาเถอะ ไม่ได้คิดไรเพราะให้กับความที่ หน้าตาใช้ได้อ่ะนะ ... พอใกล้เวลาร้านจะเปิด พนักงานร้านจะเริ่มมาช่วยกันทำความสะอาดร้าน และเรากับเพื่อนก็ช่วยกันอีกแรง ช่วงเวลานี้ เราเลยได้รู้จักกับ ลิซ่า จอร์นน่า เกรทเช่น ลอร์ร่า เคนดร้า เมเรดิท และเคท ซึ่งพวกนางจะเป็นสาวเสิร์ฟวัยเกือบกลางคนจนถึงเลยกลางคนไปล่ะ พวกนางน่ารักและเป็นกันเองมาก รักเลยตั้งแต่แรกรู้จัก แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ได้รู้จักกับเชฟและผู้ช่วย พวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ทำงานด้วยกันแล้วอยู๋ด้วยกันอย่างมีความสุขมากจริงๆ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เริ่มจากเชฟเลยล่ะกัน..


เชฟคนนี้ชื่อ "เดเร็ค" ค่ะ เป็นเชฟที่เราคิดว่า ทำงานละเอียดและให้ความสำคัญกับอาหารทุกจาน ทุกเมนู และทุกมุมของครัวจริงๆ เดเร็คเป็นคนน่ารักและจริงจังในการทำงานทุกครั้ง แต่พอหลุดจากหน้าที่เท่านั้นแหละ ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกันกับเขาเลยซักนิด เป็นฝรั่งที่รั่วและบ้าในเวลาเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ สามารถดึงเรื่องที่จริงจังที่เครียดๆให้ออกนอกโลกแบบกู่ไม่กลับได้ บางครั้งเวลาที่เราทำงานด้วยจะรู้สึกสบายใจเหมือนได้ทำกับญาติตัวเอง เดเร็คให้เกียรติเรากับเพื่อนในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานได้ดีมาก ช่วยเหลือทุกอย่างในครัว และเป็นคนสอนเรื่องความรู้เกี่ยวกับอาหารและการทำงานร่วมกับฝรั่งในครัว ซึ่งถามว่าต่างจากที่ไทยมั้ย ต่างนะ เดเร็คเป็นผู้ชายที่อายุถึงจะปาไปเกือบจะเลข 5 แล้วก็ตาม แต่เขาชอบทำตัวเองในอายุ 10 ขวบตลอดเวลา ฮ่าๆๆๆ ต่อมาก็เมียเชฟล่ะ,,,



ผู้ช่วยเชฟคนนี้ชื่อ "เบคกี้" ... นางเป็นคนน่ารักนะ ถ้าไม่รวมตอนทำงาน เพราะนางเคร่งเครียด ไม่ผ่อนคลายกับการทำงานหน้าเตาเลยซักครั้ง ขนาดสามีนางขี้เล่นขนาดไหนยังทำให้นางไม่ยิ้มเวลาทำงานได้เลย มือจับที่หนีบปั๊บ วิญญาณคนครัวเข้าสิงทันที เราเคยโดนนางกดดันมาครั้งนึงเรื่อง Lobster นี่แหละค่ะ เป็นครั้งที่เราปวดใจที่สุดจริงๆ แต่คราวหลังเราเพิ่งมารู้ว่าที่นางว่าเราครั้งนั้นเพราะนั้นคืองานที่ต้องเจอตามโรงแรมหรือร้านอาหารในอเมริกา ถ้าเกิดเรายังทำงานอยู่ที่นี้ เบคกี้เวลาไม่ได้ทำงาน นางเป็นสาวปาร์ตี้มากๆนะ เพราะแก็งค์เขาจะมีเคนดร้าและเมเรดิท ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา และชอบไปเล่นโยคะกันริมทะเล ฮ่าๆๆๆ

ที่เราเล่านิสัยของ 2 คนนี้เยอะเพราะเขาสองคนเป็นคนที่เราให้ความสำคัญมากกว่านายจ้างเรานิดหน่อย แต่หลังจากนั้นวันนึง ไดแอนด์ให้เราสองคนพักผ่อนค่ะ ปีเตอร์เลยไปสรรหาจักรยานที่เขาซื้อไว้เผื่อให้คนที่อยู่โมเทลปั่นมาให้เราสองคน ... ทริปแรกของการอยู่เมืองนอก คือเราปั่นไปบีชค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ปั่นไปเกือบครึ่งชั่วโมงจากที่พักจนถึงบีช ... ซึ่งเราคิดว่าใกล้มากสำหรับการปั่นครั้งแรก แต่พอหลังๆมาปั่นแทบจะทุกเช้าและเวลาว่างค่ะ ชินจนลืมไปเลยว่าไกล อากาศดีมาก เพราะข้างทางเป็นป่าสนจนไปถึงลานโล่ง เราชอบการปั่นจักรยานโดยที่ได้เห็นทัศนียภาพแบบนี้นะ


ถ้าเราจำไม่ผิด อันนี้น่าจะเป็นสถานที่พักรถและว่าการให้ข้อมูลท่องเที่ยวล่ะมั้งนะ









และนั่นก็หมดทริปของการ เพราะหมดพลังงานไปกับการปั่นจักรยานนั้นกลับมาที่พักอีก... แต่พอกลับมาที่พักไม่ทันจะฟื้นพลังตัว เรากับเพื่อนก็พากันไปซื้อของกินกันค่ะ และด้วยความที่เราไม่อยากรบกวนปีเตอร์ให้พาไป เลยตกลงพากันปั่นจักรยานคู่ชีพไปตามทางสำหรับปั่นจักรยาน .. ซึ่งเราลืมไปว่าห้างมันอยู่อีกเมืองนึง ถ้าเราปั่นจักรยานนั้นต้องผ่านอีกเมือง เพื่อจะไปถึงเมืองที่มีห้าง เราจำได้เลยว่า เราปั่นจักรยานตั้งแต่บ่ายโมงเกือบบ่ายสองค่ะ ปั่นจากฟ้าที่มีแสงส่องจนหมดแสงเปลี่ยนสีเป็นแดงหม่นเกือบมืด ถ้าจำไม่ผิด น่าจะถึงเมือง Orleans ประมาณห้าโมงเกือบหกโมงเย็น เป็นการปั่นที่ทรหดมากสำหรับเรา เพราะตั้งแต่เกิดมานี่คือการเดินทางที่ยาวมากถ้าไม่นับที่เคยวิ่งมาราธอนตอนประถม .. บอกเลยว่า เหนื่อยและไม่สามารถหาคำอธิบายได้ แต่เราก็เจอสวรรค์ค่ะ!! เพื่อนเราเผอิญเจอร้านอาหารไทยที่อยู่ไม่ไกลจากห้าง แล้วนั่นคืออาหารมื้อแรกถ้าไม่รวมของว่างที่กินในร้านและมาม่าที่ต้มกินในห้องพัก และนั่นเองทำให้เราได้รู้จักลุงคนไทย และพี่สาวใจดีที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่นั้นมาเป็นสิบปี พอลุงรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยเท่านั้น บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจนเรารู้สึกได้ ลุงเป็นกันเองมากและเวลาเช็คบิลก็ให้พี่สาวลดค่าอาหารให้อีกด้วยทุกครั้ง 

หลังจากที่หมดมื้ออาหารนั้น เราเลยถามลุงเกี่ยวกับ bus ที่มารับหน้า Stop&Shop ลุงเลยบอกข่าวร้าายที่สุดคือ มันหมดตั้งแต่ 6 โมงเย็น ซึ่งตอนนั้นมันปาไป 6 โมงจะครึ่งอยู่แล้ว เรากับเพื่อนนิถึงกับเหี่ยวเลยนะ แต่ไหนๆก็พลาดรถแล้ว เราเลยลาลุงกับพี่สาว เพื่อไปซื้อของ ... บอกเลยว่าพอจอดรถและเดินเข้าห้างเท่านั้นแหละ เรากับเพื่อนนิ สติแตกค่ะ เดินซื้อของเหมือนกับห้างจะปิดอีก 5 นาที .... แต่ระหว่างที่เราซื้อของ เราเผอิญเจอเชฟค่ะ แต่คอนนั้นเราบอกตรงๆเลยว่า ไม่ได้สนิทขนาดจะขออาศัยติดรถได้ เลยได้ทำท่าทางเดินผ่านไปผ่านมา และเดเร็คไม่ได้รู้สึกถึงการมีตัวตนของเราค่ะ เศร้ามากกกกก!! ... หลังจากที่เราทำการช็อปปิ้งเสร็จก็ตัดสินใจค่ะ โทรหาปีเตอร์ให้มารับ แม้ว่ามันจะลำบากใจก็เหอะ แต่ถ้าจะให้เราปั่นไปทั้งๆที่มีของเยอะมว๊ากกกกกกกกก็ไม่ไหว และที่สำคัญ ... ต้องปั่นสุสานถึง 2 ที่เดียวกัน คิดว่าเรากับเพื่อนจะบ้าบิ่นมั้ยค่ะ บอกเลยว่าไม่ ฉันลาขาดดด แต่พอเราโทรหาปีเตอร์และบอกเขาเสร็จ ประโยคสุดท้ายเขาตอบเพื่อนเรามาว่า "You're my trouble maker" ถึงแม้ว่าปีเตอร์จะพูดขำ แต่เรารู้สึกผิดค่ะ ... ระหว่างที่ปีเตอร์รับเราขึ้นรถมาแล้ว เขาบอกพวกเราว่า " You make me missed my sweet dinner" เท่านั้น กุรู้สึกผิดเต็มๆเลยจ้าาา,,, พอถึงที่พัก ปีเตอร์ส่งเราเสร็จแล้วบอกเจอกันที่ร้านพรุ่งนี้ 9 โมง และขับรถออกไป .... วันนั้นเป็นวันที่เรากับเพื่อนเหนื่อยลากดินสุดๆพลังไปเลยค่ะทุกคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น