วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อเมริกาพาเพลิน 3

Pre-Working เตรียมตัวทำงานเป็นเด็กครัว



วันที่สองของการอยู่ประเทศของลุงแซม (เคยมีคนบอกชื่อนี้มาเลยเอามาใช้) เพราะด้วยความที่เมื่อคืนเรานอนเร็วมาก เลยทำให้ตื่นเช้าไปโดยปริยาย รู้สึกว่าตอนนั้นจะตื่นมาประมาณเกือบ 6 โมงได้ แล้วด้วยมันยังมืดๆอยู่เลยนอนเล่นมือถือจน 6 โมงกว่า เราเลยลุกมาอาบน้ำ แปรงฟัน ก็เน่ามาวันสองวันแล้วนิ ตัวไม่โดนน้ำเลย ฮ่าๆๆๆ ... หลังจากเสร็จธุระตัวเองแล้วเลยออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอก เพราะแน่ๆเลย อากาศดีมากกก ถึงมากที่สุด เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ ป่า ต้นสน ต้นไผ่บางประปราย เราเลยออกมาเดินเล่นฆ่าเวลาจนเกือบแปดโมงกว่า เราเข้าที่พักว่าจะมาปลุกเพื่อนให้ไปร้าน แต่ก็เห็นมันนั่งเช็ดผมอยู่ เลยรอมันทำธุระตัวเองให้เสร็จแล้วค่อยออกไปร้านพร้อมกัน
หลังจากที่เราออกจากที่พักเพื่อเดินมาที่ร้าน ทำให้รู้ว่าข้าง Motel เรานั้นมีร้านพิซซ่าอิตาเลี่ยนอยู่ ชื่อร้าน Lobster Italian Pizza มั้งนะ ถัดไปก็เป็นร้าน Marconi's gift & ice cream มันเป็นร้านขายพวกอุปกรณ์เล่นน้ำ เก้าอี้ผ้าใบ ร่มปัก เรือประมาณนั้น ถัดไปอีก็เป็นร้านของปีเตอร์ค่ะ Catch of the day และก็คั่นด้วย SouthFleet Motor Inn ค่ะ เป็น Motel ขนาดกลางๆไม่ใหญ่มาก และถัดไปก็เป็นร้านของเราค่ะ Van Rensselaer's ถ้าถามว่าร้านนี้ใหญ่มั้ย ไม่ใหญ่มากนะค่ะ แต่ก็ไม่เล็ก พื้นที่จอดรถกว้างทีเดียว ... พอเรากับเพื่อนถึงร้าน ไดแอนและปีเตอร์เค้าถึงก่อนแล้วค่ะ กำลังเช็คร้านกันอยู่ เราไม่เห็นปีเตอร์ค่ะ เห็นแต่ไดแอนที่นั่งอยู่หน้า MacBook ที่เค้าท์เตอร์บาร์ เราสองคนเลยเข้าไปทักและแกก็พาพวกเราเดินดูร้านค่ะ เริ่มจากปีกขวาของร้านซึ่งถัดจากเค้าท์เตอร์บาร์มานิดเดียวค่ะ จะเป็นพื้นที่นั่งทานติดกับเตาผิงขนาดใหญ่ สำหรับเอาไว้จัดเลี้ยงงานต่างๆหรือมากันแบบหมู่คณะ ถัดมาตรงกลางร้านจะเป็นทางเข้าร้านที่จะเจอโต๊ะรับแขก เค้าท์เตอร์บาร์ สลัดบาร์และทางเข้าห้องอาหารปีกหน้าและปีกซ้ายของตัวร้านค่ะ

พอหลังจากที่สำรวจพื้นที่ในร้านแล้ว ก็มาลงพื้นที่หลักของเราเลยค่ะ นั่นก็คือพื้นที่ครัว! และเราก็พบปีเตอร์ค่ะกับหนุ่มร่างสูงคนนึง.. ตอนแรกเรากับเพื่อนรู้สึกแบบเดียวกันค่ะ ว่าไม่ชอบอีตานี้สุดๆ หน้าตาไม่เป็นมิตร ไม่ยิ้มและทำหน้าเหมือนมีคนไปเผาบ้านไหม้ตลอดเวลา แต่เขาเป็นพนักงานที่ดีมากค่ะ ปีเตอร์มักจะเรียกนายคนนี้เหมือนลูกคนหนึ่ง นายยิ้มยากคนนี้ชื่อ "Steve" ทุกครั้งที่ปีเตอร์จะทำอะไรจะต้องมีนายคนนี้เข้ามาเอี่ยวทุกครั้ง ทำให้เรากับเพื่อน เบ้หน้า นินทาสตีฟแบบไม่หยุดยั้งทุกวันและทุกเวลา หลายครั้งที่อีดตานี้พยายามบอกเรากับเพื่อนว่า ตำรวจมาที่ร้านและจะมาจับพวกเธอกลับประเทศ ขู่ได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ช่างเขาเถอะ ไม่ได้คิดไรเพราะให้กับความที่ หน้าตาใช้ได้อ่ะนะ ... พอใกล้เวลาร้านจะเปิด พนักงานร้านจะเริ่มมาช่วยกันทำความสะอาดร้าน และเรากับเพื่อนก็ช่วยกันอีกแรง ช่วงเวลานี้ เราเลยได้รู้จักกับ ลิซ่า จอร์นน่า เกรทเช่น ลอร์ร่า เคนดร้า เมเรดิท และเคท ซึ่งพวกนางจะเป็นสาวเสิร์ฟวัยเกือบกลางคนจนถึงเลยกลางคนไปล่ะ พวกนางน่ารักและเป็นกันเองมาก รักเลยตั้งแต่แรกรู้จัก แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ได้รู้จักกับเชฟและผู้ช่วย พวกเขาเป็นสามีภรรยาที่ทำงานด้วยกันแล้วอยู๋ด้วยกันอย่างมีความสุขมากจริงๆ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เริ่มจากเชฟเลยล่ะกัน..


เชฟคนนี้ชื่อ "เดเร็ค" ค่ะ เป็นเชฟที่เราคิดว่า ทำงานละเอียดและให้ความสำคัญกับอาหารทุกจาน ทุกเมนู และทุกมุมของครัวจริงๆ เดเร็คเป็นคนน่ารักและจริงจังในการทำงานทุกครั้ง แต่พอหลุดจากหน้าที่เท่านั้นแหละ ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกันกับเขาเลยซักนิด เป็นฝรั่งที่รั่วและบ้าในเวลาเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ สามารถดึงเรื่องที่จริงจังที่เครียดๆให้ออกนอกโลกแบบกู่ไม่กลับได้ บางครั้งเวลาที่เราทำงานด้วยจะรู้สึกสบายใจเหมือนได้ทำกับญาติตัวเอง เดเร็คให้เกียรติเรากับเพื่อนในฐานะเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงานได้ดีมาก ช่วยเหลือทุกอย่างในครัว และเป็นคนสอนเรื่องความรู้เกี่ยวกับอาหารและการทำงานร่วมกับฝรั่งในครัว ซึ่งถามว่าต่างจากที่ไทยมั้ย ต่างนะ เดเร็คเป็นผู้ชายที่อายุถึงจะปาไปเกือบจะเลข 5 แล้วก็ตาม แต่เขาชอบทำตัวเองในอายุ 10 ขวบตลอดเวลา ฮ่าๆๆๆ ต่อมาก็เมียเชฟล่ะ,,,



ผู้ช่วยเชฟคนนี้ชื่อ "เบคกี้" ... นางเป็นคนน่ารักนะ ถ้าไม่รวมตอนทำงาน เพราะนางเคร่งเครียด ไม่ผ่อนคลายกับการทำงานหน้าเตาเลยซักครั้ง ขนาดสามีนางขี้เล่นขนาดไหนยังทำให้นางไม่ยิ้มเวลาทำงานได้เลย มือจับที่หนีบปั๊บ วิญญาณคนครัวเข้าสิงทันที เราเคยโดนนางกดดันมาครั้งนึงเรื่อง Lobster นี่แหละค่ะ เป็นครั้งที่เราปวดใจที่สุดจริงๆ แต่คราวหลังเราเพิ่งมารู้ว่าที่นางว่าเราครั้งนั้นเพราะนั้นคืองานที่ต้องเจอตามโรงแรมหรือร้านอาหารในอเมริกา ถ้าเกิดเรายังทำงานอยู่ที่นี้ เบคกี้เวลาไม่ได้ทำงาน นางเป็นสาวปาร์ตี้มากๆนะ เพราะแก็งค์เขาจะมีเคนดร้าและเมเรดิท ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา และชอบไปเล่นโยคะกันริมทะเล ฮ่าๆๆๆ

ที่เราเล่านิสัยของ 2 คนนี้เยอะเพราะเขาสองคนเป็นคนที่เราให้ความสำคัญมากกว่านายจ้างเรานิดหน่อย แต่หลังจากนั้นวันนึง ไดแอนด์ให้เราสองคนพักผ่อนค่ะ ปีเตอร์เลยไปสรรหาจักรยานที่เขาซื้อไว้เผื่อให้คนที่อยู่โมเทลปั่นมาให้เราสองคน ... ทริปแรกของการอยู่เมืองนอก คือเราปั่นไปบีชค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ปั่นไปเกือบครึ่งชั่วโมงจากที่พักจนถึงบีช ... ซึ่งเราคิดว่าใกล้มากสำหรับการปั่นครั้งแรก แต่พอหลังๆมาปั่นแทบจะทุกเช้าและเวลาว่างค่ะ ชินจนลืมไปเลยว่าไกล อากาศดีมาก เพราะข้างทางเป็นป่าสนจนไปถึงลานโล่ง เราชอบการปั่นจักรยานโดยที่ได้เห็นทัศนียภาพแบบนี้นะ


ถ้าเราจำไม่ผิด อันนี้น่าจะเป็นสถานที่พักรถและว่าการให้ข้อมูลท่องเที่ยวล่ะมั้งนะ









และนั่นก็หมดทริปของการ เพราะหมดพลังงานไปกับการปั่นจักรยานนั้นกลับมาที่พักอีก... แต่พอกลับมาที่พักไม่ทันจะฟื้นพลังตัว เรากับเพื่อนก็พากันไปซื้อของกินกันค่ะ และด้วยความที่เราไม่อยากรบกวนปีเตอร์ให้พาไป เลยตกลงพากันปั่นจักรยานคู่ชีพไปตามทางสำหรับปั่นจักรยาน .. ซึ่งเราลืมไปว่าห้างมันอยู่อีกเมืองนึง ถ้าเราปั่นจักรยานนั้นต้องผ่านอีกเมือง เพื่อจะไปถึงเมืองที่มีห้าง เราจำได้เลยว่า เราปั่นจักรยานตั้งแต่บ่ายโมงเกือบบ่ายสองค่ะ ปั่นจากฟ้าที่มีแสงส่องจนหมดแสงเปลี่ยนสีเป็นแดงหม่นเกือบมืด ถ้าจำไม่ผิด น่าจะถึงเมือง Orleans ประมาณห้าโมงเกือบหกโมงเย็น เป็นการปั่นที่ทรหดมากสำหรับเรา เพราะตั้งแต่เกิดมานี่คือการเดินทางที่ยาวมากถ้าไม่นับที่เคยวิ่งมาราธอนตอนประถม .. บอกเลยว่า เหนื่อยและไม่สามารถหาคำอธิบายได้ แต่เราก็เจอสวรรค์ค่ะ!! เพื่อนเราเผอิญเจอร้านอาหารไทยที่อยู่ไม่ไกลจากห้าง แล้วนั่นคืออาหารมื้อแรกถ้าไม่รวมของว่างที่กินในร้านและมาม่าที่ต้มกินในห้องพัก และนั่นเองทำให้เราได้รู้จักลุงคนไทย และพี่สาวใจดีที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่นั้นมาเป็นสิบปี พอลุงรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยเท่านั้น บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจนเรารู้สึกได้ ลุงเป็นกันเองมากและเวลาเช็คบิลก็ให้พี่สาวลดค่าอาหารให้อีกด้วยทุกครั้ง 

หลังจากที่หมดมื้ออาหารนั้น เราเลยถามลุงเกี่ยวกับ bus ที่มารับหน้า Stop&Shop ลุงเลยบอกข่าวร้าายที่สุดคือ มันหมดตั้งแต่ 6 โมงเย็น ซึ่งตอนนั้นมันปาไป 6 โมงจะครึ่งอยู่แล้ว เรากับเพื่อนนิถึงกับเหี่ยวเลยนะ แต่ไหนๆก็พลาดรถแล้ว เราเลยลาลุงกับพี่สาว เพื่อไปซื้อของ ... บอกเลยว่าพอจอดรถและเดินเข้าห้างเท่านั้นแหละ เรากับเพื่อนนิ สติแตกค่ะ เดินซื้อของเหมือนกับห้างจะปิดอีก 5 นาที .... แต่ระหว่างที่เราซื้อของ เราเผอิญเจอเชฟค่ะ แต่คอนนั้นเราบอกตรงๆเลยว่า ไม่ได้สนิทขนาดจะขออาศัยติดรถได้ เลยได้ทำท่าทางเดินผ่านไปผ่านมา และเดเร็คไม่ได้รู้สึกถึงการมีตัวตนของเราค่ะ เศร้ามากกกกก!! ... หลังจากที่เราทำการช็อปปิ้งเสร็จก็ตัดสินใจค่ะ โทรหาปีเตอร์ให้มารับ แม้ว่ามันจะลำบากใจก็เหอะ แต่ถ้าจะให้เราปั่นไปทั้งๆที่มีของเยอะมว๊ากกกกกกกกก็ไม่ไหว และที่สำคัญ ... ต้องปั่นสุสานถึง 2 ที่เดียวกัน คิดว่าเรากับเพื่อนจะบ้าบิ่นมั้ยค่ะ บอกเลยว่าไม่ ฉันลาขาดดด แต่พอเราโทรหาปีเตอร์และบอกเขาเสร็จ ประโยคสุดท้ายเขาตอบเพื่อนเรามาว่า "You're my trouble maker" ถึงแม้ว่าปีเตอร์จะพูดขำ แต่เรารู้สึกผิดค่ะ ... ระหว่างที่ปีเตอร์รับเราขึ้นรถมาแล้ว เขาบอกพวกเราว่า " You make me missed my sweet dinner" เท่านั้น กุรู้สึกผิดเต็มๆเลยจ้าาา,,, พอถึงที่พัก ปีเตอร์ส่งเราเสร็จแล้วบอกเจอกันที่ร้านพรุ่งนี้ 9 โมง และขับรถออกไป .... วันนั้นเป็นวันที่เรากับเพื่อนเหนื่อยลากดินสุดๆพลังไปเลยค่ะทุกคน

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อเมริกาพาเพลิน 2

การมีนายจ้างที่ดี มันก็ดีไปทุกวัน

หลังจากที่เจอปีเตอร์แล้ว เรารู้สึกเลยว่านายจ้างของเราคนนี้มี energy สูงมาก เป็นคนตลกทีเดียว อารมณ์ดี ไม่ค่อยจะชอบอยู่นิ่งเท่าไหร่ เพราะดูจากการพูดคุยระหว่างขับรถกลับเมืองที่เราต้องทำงานนั้น เอ่อ.. จริงๆแล้วเราได้แต่นั่งยิ้มอ่ะนะ ถามคำ ตอบคำ มีแต่เพื่อนเราคุยกับเค้าเท่านั้น จนแกหันมาถามว่าทำไมไม่ยอมคุยกะแก (ตอนนี้เพื่อนเราเงียบค่ะ มันกำลังดูว่าเราจะยอมพูดมั้ย?) เราก็ไม่ยอมพูดค่ะ ได้แต่ยิ้มอีกรอบ ปีเตอร์แกเลยเตือนมาเบาๆว่า ถ้าเราไม่ยอมพูด ใครจะเข้าใจ ผิด ถูกก็ขอให้พูด พูดเท่านั้นจะไร้ปัญหา แล้วแกก็ทำมือเหมือนให้ขยับปาก เราเลยต้องยอมรับและตอบกลับไปว่า "OK" เท่านั้นเลยจริงๆ แล้วแกก็คุยเกี่ยวกับร้านแกค่ะ แกมี Motel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารของแก ชื่อ Ocean pins และนั่นจะเป็นที่พักของเราค่ะ ปีเตอร์กับภรรยาของเค้ามีร้านอาหารที่ทำด้วยกัน 2 ร้านค่ะ คือร้าน Van Rensselaer's และ Catch of the day ซึ่งสองร้านนี้ห่างกันแค่ Motel คั่นกลางแค่ที่เดียวเท่านั้น ร้านแรกแกเปิดมานานแล้วค่ะ ซึ่งมีชื่อเสียงเลยทีเดียวในแถบนั้น และหลังจากนั้นแกเลยขยายร้านโดยเปิดร้านที่ 2 แยกออกมา โดยให้ภรรยาแกดูแลร้านแรกเป็นหลัก และปีเตอร์จะดูแลร้านสองเป็นหลัก แต่ช่วงไหนร้าน Vr's คนเยอะ ปีเตอร์จะเข้าไปช่วยบ้างค่ะ พอคุยกันได้เรื่อยๆ จนใกล้ถึงเมืองที่เราต้องมาทำงานแล้วค่ะ ปีเตอร์เลยแวะเมืองใกล้ๆให้เราได้ซื้อของใช้ส่วนตัวกันก่อน อาหารขนมบ้างส่วนค่ะ 

เมือง Orleans เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่เกือบท้ายๆของแผ่นดินที่ยื่นออกจากตัวรัฐ MA ในส่วนของ Cape Cod bay ค่ะ เพราะแถบนี้จะทำประมงกันส่วนใหญ่เนื่องจากติดกับมหาสมุทรแอตแลนติคค่ะ และสิ่งที่ขึ้นชื่อของอ่าวนี้คือ Lobster ค่ะ กุ้งยักษ์นี่เอง เรามีปัญหาเกี่ยวกับเจ้านี้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกตอนนึงนะค่ะ ที่เมืองนี้จะมีห้างอยู่แค่ T.J. Maxx และ Super Stop&Shop ค่ะ ปีเตอร์จอดพักให้เราทำการซื้อของ และแนะนำว่าที่นี้มีอะไรอร่อยและดีต่อสุขภาพบ้าง เลยทำให้รู้ว่า ตอนนี้แกกำลังควบคุมน้ำหนักตามหมอสั่งอยู่ ฮ่าๆๆ ... หลังจากที่เราจจ่ายเงินกันเสร็จ ปีเตอร์ก็ขับพาเราเข้าสู่เมืองเป้าหมายแล้วล่ะค่ะ เมือง South WellFleet ที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี้เป็นเวลา 2 เดือนนิดๆก่อนจะกลับไทยไปฝึกงานต่อ


รอปีเตอร์เติมน้ำมันค่ะ


พอเข้าสู่เส้นทางที่เราจะไปที่ร้าน Vr's นั้น ระหว่างทางปีเตอร์จะแนะนำว่าที่นี้คืออะไร มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง โดยหลักๆที่เราเห็นตามระหว่างทางนั้นส่วนมากจะเป็นร้านอาหารและ Motel แต่จะมีที่น่าบันเทิงใจหน่อยก็คือ มีโรงหนังที่สามารถขับรถเข้าไปดูได้ชื่อThe Wellfleet Drive-in and Cinemas Complex แต่ก็สามารถดูแบบในโรงได้เช่นกันนะ อีกหนึ่งความภูมิใจที่ผ่อนคลายของเค้าคือ Marconi Beach นั่นเอง ซึ่งหาดนี้มันไม่ไกลจากที่พักเราด้วย ถ้าเกิดปั่นจักรยานนั้นจะใช้เวลา เกือบๆครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้นะ ไม่นานเราก็เริ่มเห็นป้ายที่พักและที่พักเราแล้วค่ะ ปีเตอร์บอกว่า ร้านอาหารก็แค่เดินไปสามนาทีก็ถึงแล้ว ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ว่าค่ะ ใกล้มากจริงๆ ร้าน Vr's ตั้งเยื้องเลยแยกไฟแดง Marconi Beach ไปคืบเดียวค่ะ ร้านอาหารเป็นร้านขนาดกลางไม่ใหญ่มาก ถ้าเทียบกับร้าน Catch of the day 




หลังจากปีเตอร์เลี้ยวเข้าจอดที่ร้าน Vr's แล้ว เค้าบอกว่าให้ไปเจอภรรยาเค้าก่อนเพราะเธออยากเจอเราสองคนว่าเป็นยังไง และถามเหมือนที่แกถาม ซึ่งถ้าตามความรู้สึก แกคงอยากจะสัมภาษณ์เราแบบ Face to Face นะ ปีเตอร์ให้เราสองคนยืนรอแกก่อนแล้วค่อยเข้าไปพร้อมกันเพราะแกต้องถือของที่แกซื้อมาเข้าร้าน เรามองไปรอบๆร้านแล้วรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในแบบครอบครัวและเป็นกันเองอย่างบอกไม่ถูก ปีเตอร์เดินนำเราเข้าไปในร้าน ก่อนจะให้เราทั้งคู่ไปนั่งที่โต๊ะติดกับ เคาท์เตอร์บาร์ ไม่นานปีเตอร์ก็มาพร้อมกับภรรยาของเค้า แถมเจ้าหมาตัวยักษ์เดินตามมาด้วยไม่ห่างตัว เธอแนะนำตัวเองด้วยความเป็นกันเอง แกชื่อ Diane และแนะนำหมาของแกต่อ เราจำชื่อมันไม่ได้ แต่มันเป็นหมาตัวโตที่น่ารักนะ ไม่ดุ ไดแอนบอกว่ามันไม่สบาย มันเลยเงียบๆช่วงนี้ จากนั้นได้แอนน์ก็เริ่มบอกเกี่ยวกับสเขปงานว่าต้องทำอะไรบ้างไว้คร่าวๆและอีกหนุ่งสิ่งคือ ร้านนี้เปิดให้บริการวันที่ 12 เมษา ซึ่งเราทั้งคู่มาก่อนร้านจะเปิด เลยต้องช่วยกันทำความสะอาดร้านและเตรียมความพร้อมให้บริการ แกบอกว่าอีกอย่างว่า หลังจากเสร็จงานตรงนี้นั้นจะพาไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้านอาหารไทย เพื่อนของแกที่อยู่เมืองใกล้เคียงกันซึ่งก็คือเมือง Eastham แต่ในวันนั้นแกแค่ให้เรานั่งกินน้ำ เล่นกับหมาแล้วให้เรากลับที่พักเพื่อไปพักผ่อนก่อนจะถึงเวลานัดกันตอนเย็น


ป้ายร้านเรา ใหญ่พอมั้ย? 5555





สังเกตุป้ายสีเขียวๆตรงเสาไฟ เลยไปหน่อยก็เป็นแยกไฟแดงที่ติดกับร้าน Vr's

บรรยากาศอีกฝั่งของร้านค่ะ

Mrs. Diane Elizabeth Hall

Welcome Drink ด้วยน้ำส้มค่ะ อร่อย =)
 
หลังจากแยกจากไดแอนนั้น ปีเตอร์ก็ขับรถพาเรามาที่พักเพื่อที่จะได้เอากระเป๋าเดินทางลง เพราะความคิดเรา ถ้าจะให้แบกมาเอง หลังเดาะกันพอดี .. ปีเตอร์ช่วยเอากระเป๋าลงให้ก่อนจะให้กุญแจที่พักพร้อมกับการ์ดสมาชิกของ Super Stop&Shop มาให้ แล้วแกก็ย้ำอีกทีเรื่องนัดตอนเย็นก่อนจะขับรถออกไปโดยทิ้งให้เราอยู่หน้าห้องพัก ห้องพักของเราจะอยู่ริมสุดของที่พักและจะติดกับห้องซักล้างซึ่งมันเป็น Basement ต้องเดินลงไปข้างล่างถ้าอยากจะซักเสื้อผ้า และมีโทรศัพท์ไว้ให้ มันก็อยู่รวมกันที่ห้องนี้ทั้งหมด เรากับเพื่อนพากันลากกระเป๋าเข้าเก็บในห้องพักทันทีที่ไขกุญแจเสร็จ ห้องก็เหมือนพวกรีสอร์ททั่วๆไปของตามพวกถิ่นท่องเที่ยว ซึ่งโดยรวมแล้วถามว่าชอบมั้ย? มันอยู่ได้ ไม่เดือดร้อน ก็ดี ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยด้วย ห้องพักมีเครื่องอำนวยความสะดวกเกือบครบนะ ถ้าไม่เน้นพวกทำอาหาร เพราะที่นี้มีตู้เย็น เตาไมโครเวฟ ทีวี จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำให้พร้อมแถมน้ำอีก 4 ขวดในตู้เย็นด้วย ... ในตอนแรกที่เห็นเตียง เราแทบอยากจะจมลงไปกับเตียงเลย มันเพลียร่างนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยทำอะไรก็เหอะ ตอนแรกตกลงกันว่าจะจัดของ ไปๆมาๆ พากันหลับไม่รู้เรื่องเลยค่ะ


หน้าห้องพักเราค่ะ หลายเลข 6

เดินออกไปก็ถนนใหญ่แล้ว ข้างๆริมรั้วนั้นก็จะเป็นบ้านพักของเชฟค่ะ






ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานขนาดไหน มารู้ตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอกค่ะ ทำให้ได้รู้เลยว่า นี่มันกลางคืนแล้ว เราเดินลงจากเตียงด้วยความงัวเงียไปเปิดประตู สิ่งที่เห็นคือปีเตอร์ก้มลงมามองหน้าแล้วถามว่า ยังจำนัดของเราได้มั้ย? ตอนนั้นสติฉันยังกลับมาไม่ครบร้อยหรอกค่ะ สักแต่ว่าจะไปนอนต่อ เลยตอบแกไปว่า ลืม! ปีเตอร์ขมวดคิ้วแล้วถามกลับว่าไปไหวมั้ย? หรืออยากนอนพักต่อ ไอ้เราก็มองหน้าแกสลับกับหันไปดูเพื่อนที่นอนมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและคงยังไม่รู้เรื่องว่านายจ้างมาตามไปกินข้าว ... และเราก็หันกลับมาตอบอปีเตอร์อีกครั้งว่า ขอนอนต่อแล้วกัน รู้สึกยังเพลียอยู่ เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะบอกให้เราปิดประตูล็อกกลอนแล้วขับรถออกไป ... ตอนนั้นเรารู้สึกแย่นะ แต่ด้วยความที่อยากนอนมันมากกว่า เลยต้องเชื่อฟังคำพูดผู้ใหญ่ทันที ปิดประตู ล็อกกลอน แล้วเดินกลับมานอนที่เตียงแบบเดิม!! 

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อเมริกาพาเพลิน 1

เมืองแห่งความหนาวเหน็บในชีวิต

หลังจากที่นั่งเครื่องบินมา 3 ครั้ง Bangkok Narita Dallas Boston ความรู้สึกมันเหมื่อยและทรมานร่างสุดๆเลย เรื่องนอนหลับเราโอเคนะ แต่มันนั่งไง ตะคริวเกือบรับประทานไปทั้งตัวล่ะตอนลงเครื่องครั้งสุดท้าย พอเท้าได้ก้าวออกมาจากประตูเครื่องบินเท่านั้น ไอความเย็นมันปะทะหน้าเลย ขนลุกไปทั้งหลังเลยจ้าาา หนาวมากกก ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะลงเครื่องตอนตี 2กว่าๆ ด้วยความหนาวถึงหนึ่งองศาแบบแห้งๆ ไม่ได้ชื้นแบบเมืองไทย เล่นเอาปากแห้งแตกเลยทีเดียว เสื้อกันหนาวผ้าร่มขนเป็ดมีประโยชน์ก็คราวนี้ล่ะ .. ที่สนามบินเงียบมากหลังจากที่เรากับเพื่อนเอากระเป๋าใส่รถเข็นเรียบร้อยแล้ว จริงๆที่เอเจนซี่ก็แนะนำให้ไปนอนที่โรงแรมแถวนั้นแล้วค่อยนั่งแท็กซี่ออกมาตอนเช้า แต่ก็นะ คือมันใกล้เช้าแล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วต้องขึ้นรถไปเมือง Barnstable ที่นัดกับนายจ้างรอบเจ็ดโมงให้ทัน ไม่งั้นรออีกนานแน่ๆ

เป็นหมีขั้วโลกเลยยยยยย

เราสองคนเลยตกลงกันว่า นอนที่สนามบินกันเนี่ยแหละ หนาวๆกันอยู่อย่างนี้แหละ คนก็นอนกันเยอะแยะไป เลยตัดสินใจเข็นรถหนีพี่แท็กที่ยืนรอโบกมือโบกไม้อยู่ข้างนอกทันที เราขึ้นไปนอนชั้นสองของตัวสนามบิน พอหาที่ที่พอจะทิ้งตัวลงนอนได้ก้เข็นรถเข้ามุม แต่ยังไงล่ะ สงสัยก๊อกสุดท้ายมันกำลังจะมา แล้วคนยิ่งไม่มีด้วย เราเลยปล่อยเพื่อนนั่งเล่นมือถือคุยกับเพื่อนที่ไทยอยู่คนเดียวแล้วก็เดินหนีบไปเข้าห้องน้ำทันทีทันใด




ตีสามกว่าๆ .. อากาศเริ่มเย็นลงอีกระรอก เรากับเพื่อนก็นั่งๆนอนๆ หลับก็ไม่ลงเพราะเต็มตื่นไปกับบนเครื่องแล้ว ตอนนี้ตาสว่างสุดๆ เราเลยขอยืมโน้ตบุคเพื่อนเล่นเพื่อนจะคุยกับทางบ้านว่ามาถึงแล้ว ถ้าจะถามว่าทำไมไม่เอาของตัวเองมา .. มันเสีย! จบปึ๊งง!! คุยกันไปเรื่อย อากาศก็หนาว บรรยากาศก็เงียบ จนถึงตอนเกือบตีสี่ครึ่ง เราสองคนเลยมานั่งติดกันว่าจะหาทางติดต่อกับนายจ้างยังไง? (= =?) คิดกันตลบไปตลบมา เลยได้ความว่า ส่งเมลไปหาแล้วกัน เพราะเกี่ยงกันจะโทรคุย พอส่งปุ๊บก็ร่าเริงปั๊บเลยค่ะ รอรถมาอย่างเดียว




ตีห้าเกือบหกโมงเช้า... เอาแล้ว เรากับเพื่อนมานั่งคิดกันอีกรอบว่า นายจ้างเค้าจะอ่านเมลป่าวหว่า.. ?ผลสรุปสุดท้ายก็ต้องโทรหาและให้เพื่อนนั่นแหละคุย เพราะอย่างน้อยมันเรียนเอแบค มันน่าจะฟังรู้เรื่องมากกว่า ...พอคุยกับนายจ้างเรียบร้อย เราก็มานั่งรอรถบัสเที่ยวแรกที่จะไปถึงที่ Barnstable ให้ทัน จนเวลามันล่วงเลยมาค่อนข้างจะนาน เกือบเจ็ดโมง เพราะระหว่างนั้นเรากับเพื่อนเทียวถามกับเจ้าหน้าที่สนามบิน จนแกคงจะแบบ อีเด็กหัวดำนี่อะไร ถามอยู่นั่นแหละ ... 


ที่ภาพสั่นไม่ใช่อะไร มือพยายามกดชัตเตอร์อยู่

ต่างคนต่างนิ้วแช่แข็ง

พอเวลาล่วงได้เจ็ดโมงกว่า เราออกมาท้าความหนาวอยู่ข้างนอก ลากกระเป๋ามานั่งที่ป้ายรถบัส .. และแล้วนางก็มา รถมาแล้ววว ... รถจอดสนิท เราสองคนวิ่งกันทุลักทุเลกับกระเป๋าใบโต เป้สะพายฝ่าลมหนาวไปขึ้นรถบัสที่จะมีคนขับรถลงมาเอากระเป๋าเก็บที่ท้องรถให้ .. จะว่าไปคนที่นี้น่ารักดี มีมารยาทให้กับผู้ให้บริการดีมาก ชอบล่ะตั้งแต่มา ,,, จากนั้นเราก็ได้ขึ้นรถซักที แล้วเราก็จ่ายเงินและหลับไป .. พอรถวิ่งไปนานจนกระทั่งเราสองคนสะดุ้งตื่น ก็เหลือแค่สถานเดียวที่จะต้องลงรถ ตื่นเต้นมากตอนนั้น เพราะไม่เคยคิดจะต้องมาทำอะไรด้วยตัวเองในต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ ในที่สุดรถก็มาถึงเมือง Barnstable แล้ว ลงจากรถก็มีพี่คนขับแกเดินลงมาช่วยเอากระเป๋าลงให้แล้วก็จากไป ,,, แล้วยังไงต่อ? เห็นโทรศัพท์สาธารณะก็เลยจะโทรไปหานายจ้างอีกครั้งและเพื่อนมันก็ย้ำว่า "มึงโทรบ้างเลย เพราะกูโทรแล้ว" น่ารักป่ะล่ะเพื่อนฉัน! มือกำลังจะจับล่ะ ซักพักได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง

"Hey Girls! i come to pick up you" 

และนี่คือเสียงของชายวัยกลางคนตัวสูงพุงใหญ่เดินมาพร้อมรอยยิ้มแล้วทักทายเราด้วยความยินดี เค้าคือ Peter Hall! นายจ้างฝั่งชายของเรานั่นเอง!

Mr. Peter Hall

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การเดินทางสุดระทึก...

เที่ยวบินระทึกใจ

และแล้ววันของฉันก็มาถึง เสียงนาฬิกาปลุกขึ้นตอนตีสามครึ่ง แต่ก็ไม่ได้ปลุกคนหรอกนะ เพราะคนน่ะ ไม่ได้หลับเลยตั้งแต่คืนก่อนบิน โดยส่วนตัวเป็นคนนอนดึกมากแล้วให้มาหลับตอนหัวค่ำแล้วตื่นตีสามเลยคงไม่ไหว เลยเอาว่ะ! ไม่หลับมันซะ ไหนๆก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับเวลาที่นั้นอยู่แล้ว .... ในความมืดของวันนั้นเราอาบน้ำด้วยความเร็วเพราะกลัวจะตกเครื่อง ปลุกลุงป้า พ่อแม่ พี่ชายพี่สาวปลุกหมดบ้านเพื่อให้ไปส่งที่สนามบิน.. (ตอนนั้นก็คิดนะ ทำไมไม่ปลุกไปส่งแค่คนเดียวว่ะ) พอเวลาเลยมาเกือบตีสี่ครึ่งได้มั้ง ได้เวลาล้อหมุนแล้วววววว....

ระหว่างทางเราคิดอะไรไปเรื่อย ไปที่นั้นจะเป็นยังไง ทำอะไร จะผ่านตม.มั้ย? ที่สำคัญจะกระเป๋าที่ขนอาหารแห้งจะโดนริบหรือป่าวมันน่าคิด ... จนกระทั่งมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิที่เราให้คำมั่นว่า ซักวันจะมาเหยียบเพื่อไปเมืองนอกให้ได้ ในที่สุดฉันก็มา ... ฮ่าๆๆๆๆ  >[]< เราไปสายการบินเจแปนแอร์ไลน์แล้วเปลี่ยนเครื่องไปอเมริกันแอร์ไลน์ที่นาริตะ แล้วจะบอกก่อนขึ้นเครื่องนั้นเรารู้สึกไม่ดีเหมือนตัวเองท้องจะเสีย .. เราเลยบอกกับเพื่อนว่า ท้องเสียตั้งแต่อยู่สุวรรณภูมิแล้ว


กำลังจะไปแล้วนะ

และแล้วจนขึ้นเครื่องบินจะไปนาริตะ เอาล่ะซิ.. ท้องไส้มันกำลังประท้วง ข้าศึกตีหน้าด่าน แล้วอีกประมานเกือบ 5 ชั่วโมงจะถึงนาริตะ ตายค่ะตาย.. ตอนนั้นคือไม่รอดแน่ ไทยเราจะเสียกรุงครั้งใหญ่ให้กับมหันตภัยในท้องเสียแล้วหรือนี้!?!? เพราะอย่างนั้นเราเลยแก้ปัญหา... หลับมันซะเลยจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ .. ซึ่งมันก็ได้ผลนะ พอถึงนาริตะ เราจัดการคว้ากระเป๋าแล้วลากแขนเพื่อนไปห้องน้ำทันที ... พอมาเห็นห้องน้ำที่นี้เท่านั้น อืมหื้มมม เอากลับบ้านได้มั้ย? มันช่างสุขซะนี่กระไร .. หลังจากทำการสำเร็จโทษข้าศึกไปแล้วนั้น เราก็ไป Gate ทันทีนั่งรอขึ้นเครื่องที่นี้ประมาณชั่วโมงนิดๆ เค้าเรียกให้ขึ้นเครื่องค่ะ





เอาล่ะได้เวลาสัมผัสกับสายการบินของชาติอเมริกาแล้ว เครื่องใหญ่ ที่นั่งกว้างพอจะขยับตัวได้ค่ะ ไม่ต้องรู้สึกอึดอัด ... แต่แล้วยังไงค่ะ? เป็นอีกแล้วค่ะ ข้าศึกกำลังจะตีประตูเมืองอีกแล้ว ตอนนั้นเราคิดในใจเลยนะ ทำไมว่ะ กะอีแค่ไปเมืองนอกครั้งแรก มึงต้องการให้กูปล่อยจองที่ทุกสนามบินเลยเหรอ? เหมือนหมาจองเขตแดนตัวเองเลย ... เราไม่รู้จะทำไง ได้แต่..หลับ ลูกเดียวเลยค่ะ  ,, จะรู้สึกปวดแบบนี้เวลาแอร์มาเสิร์ฟอาหารระหว่างการเดินทางเท่านั้น ... เราทรานซิสอีกครั้งที่เมือง Dallas,Taxas ...เราก็เหมือนเดิม วิ่งลงจะเครื่องให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้สำเร็จปลิดชีพข้าศึกให้สิ้นซักที .. เราใช้เวลาไม่นานกับการกำจัดมันครั้งนี้ เราเลยไม่ต้องรีบตาหลีตาเหลือกไปเข้าแถวผ่านตม.ค่ะ =)



ในสนามบิน Dallas เราต้องนั่งรถไฟฟ้าในสนามบินเพื่อไปอีก Terminal นึง เพื่อที่จะได้ทรานซิสเครื่องอีกครั้ง แต่ก่อนเราจะนั่งรถไฟไปเปลี่ยนเครื่อง เราต้องผ่านตม.กันก่อนค่ะ โชคดีที่ตม.ไม่ค่อยถามอะไรนอกจากมาทำอะไร อยู่ที่ไหนแค่นั้นเอง จากนั้นเราก็ไปเอากระเป๋าเพื่อที่จะเปลี่ยนเป็นสายการบินเดิมแต่บินในประเทศแทนค่ะ เครื่องเลยจะเล็กลงมา พอเราได้กระเป๋า เรากับเพื่อนก็จะต้องผ่านกรมสรรพกรของที่นั้นเพื่อตรวจเช็คว่านำของอะไรเข้าประเทศเค้ามั้ย? มีคนแนะนำให้ตอบ NO!! ลูกเดียวค่ะ แล้วจะไม่มีอะไรให้ถามอีก ฝรั่งขาววัยกลางคนเห็นเรากับเพื่อนหน้าเหมือนกันมั้งค่ะ เลยถามว่าเป็นพี่น้องกันหรือป่าว .. พวกเราถึงกับปล่อยก๊ากเลยค่ะ แต่ก็บอกแกว่าไม่ใช่ ..
พอเราจบบทสนทนาเรื่องอาหาร เราก็ลอยลำค่ะ แต่เพื่อนเราซิค่ะ ดันบอกว่า เอามาม่ามา .. เค้าเลยขอสแกนกระเป๋า เรางี้เหงื่อแตกเลยค่ะ เพราะดันบอกไม่ได้เอาอะไรมา ... พี่แกพาเราสองคนเข้าห้องสแกนกระเป๋าทันที ห้องใหญ่มาก เครื่องสแกนหลายเครื่องมาก แอร์เย็นมากกก แต่เหงื่อมาเต็มค่ะ กลัวโดนปรับ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเสื้อผ้าเราอัดแน่น และของทุกอย่างเรายัดไว้ตรงกลางทั้งหมด 555 ส่วนเพื่อนเราโดนยึดโจ๊กไก่ไป แต่นอกนั้นเอาเข้าได้ ไม่มีปัญหา เจ้าหน้าที่บอกว่า ห้ามนำอาหารแปรรูปเกี่ยวกับไก่เข้าประเทศค่ะช่วงนั้น 


ต่อแถวจะเข้าเมืองทั้งนั้น

หน้าเหียกมากกก กำลังจะไปต่อเครื่องครั้งสุดท้าย

พอหลุดจากตรงนั้นมา เราก็ระเห็จมาเช็คอินเพื่อจะเปลี่ยนเครื่องไป Boston ค่ะ .. ลากกระเป๋าให้กับเจ้าหน้าที่ .. แล้วเรากับเพื่อนก็เดินลัลล้าไป Gate ทันทีเพื่อรอเวลาจะไปเขตหนาวของเมือง Boston ... เพราะตอนที่อยู่ Dallas นั้น อากาศเค้าเหมือนบ้านเราค่ะ ร้อน ร้อนมากกก ,,,


บรรยากาศไป Boston คึกคักแท้ นี่มัน 5 ทุ่มนะ

กำลังจะผจญเข้าสู่โลกว้างแล้วค้าาาาทุกโค้นนนนนน >[]<

ติชมได้นะค่ะ ยินดีแบ่งปันกัน :3



เริ่มต้นการเดินทาง


นี่เป็นการเริ่มต้นของเด็กสาวตัวกลมที่เคยได้เบิกเนตรตัวเองในเมืองนอก ถูก ผิดประกายใดขออภัยในช่วงนี้เด้อ เพิ่งเคยทำ Blog ครั้งแรก =)


เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่

เอาจริงๆแล้วเรื่องที่อยากจะไปเมืองนอกนั้น เราคิดมาหลายตลบมาก ถึงมากที่สุดเพราะเราคิดถ้าบอกกับที่บ้านไป ท่านอาจจะไม่ให้ไป ในตอนนั้นเราเพิ่งอยู่ม.ปลายและนั่นแหละเป็นจุดกำเนิดที่เราค้นหาข้อมูลที่จะไปอเมริกาให้ได้!! แล้วเราก็ค้นพบสิ่งที่เราต้องการ "Work&Travel"
แน่นอนว่าเราเห่อมากถ้าเราบอกพ่อแม่ไปเพราะเพิ่งเจอสิ่งนี้ โดนแบนให้อยู่ในประเทศแน่ เพราะรู้ว่าท่านห่วง ห่วงว่าจะไปทำอะไร กินอะไร โดนหลอกป่าว เพราะช่วงนั้นมีข่าวพวกโดนหลอกอะไรแบบนี้เยอะทีเดียว เพราะงั้นเราเลยต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวเรื่องนี้ถึง 6 ปีเต็ม และประจวบเหมาะกับโครงการนี้ประสานงานกับทางคณะที่เราเรียนอยู่ด้วย เราเลยใช้ช่วงปิดเทอมที่คาบเกี่ยวกับฝึกงานตอนปีสามนี้เป็นการวัดใจไปเลย ตอนแรกท่านไม่ยอมนะ ลากเหตุผลทั้งหมดมาก็ไม่ให้ จนเราน้ำตาจะไหลเลยพูดออกไปประโยคเดียวที่ว่า "เงินที่จะขอเนี่ย ไม่ได้ขอเลย แค่ยืม" เท่านั้นท่านก็ตกลงแต่ก็ยังไม่วางใจ ส่วนตัวเราน่ะเหรอ ไปแล้ว จิตใจไปทำงานที่นั้นเรียบร้อยแล้ว

ตอนนั้นเราเห่อมากบอกตามตรง บอกเพื่อน บอกญาติว่าจะไปโบยบินที่เมืองนอกแล้วนะ ซึ่งตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าไปแล้ว ได้ไปแล้วจนลืมไปเลยว่าไปคนเดียว?! = = และนั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนก็ตามมา เราบอกกับเพื่อนสนิทคนนี้ว่าจะไปเมกาแล้วนะ ซึ่งอยู่ดีๆมันก็บอกว่า เออเอาดิ ไปด้วย สรุปแล้วการคุยกับเพื่อนครั้งนั้นเลยได้เพื่อนมาทำงานด้วยหนึ่งคน ถามว่าดีมั้ย ... โคตรๆ!! เพราะมันให้เหตุผลเราว่า มันแค่ไม่อยากเรียนซัมเมอร์แค่นั้นแหละ

พอจบมวลการสนทนานั้นเราก็เริ่มดำเนินการทุกอย่างกันอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบลื่นบ้าง มีอุปสรรคบ้าง มันก็เป็นรสชาติของชีวิตนะเอาจริงๆ ... ตอนสัมภาษณ์กับนายจ้าง จำ moment ในได้ดี เพราะเนทที่หอพัก มันดีจริงๆ สัมภาษณ์ไปเหมือนเรากับเค้าอยู่กันคนละโลกเลย เราสัมภาษณ์ผ่านรหัสมอสป่ะเนี่ย? = = แต่สุดท้ายนางก็รับเราเข้าทำงาน และล็อคตำแหน่งให้เพื่อนเราด้วย น่ารักจริงๆนะเอเจนซี่นี้ 5555 พอพ้นเรื่องนี้ไป ก็มาระทึกเรื่องวีซ่า เพราะได้คำร่ำลือเสียงเล่าอ้างมาเยอะว่าโหดมาก แต่เราพยายามใช้สติที่มีอยู่อันน้อยนิดนี้ให้เก็บคำพูดให้ได้รู้เรื่องที่สุด .. พอเวลานั้นมาถึง ถาม 5 ประโยคแล้วก็ Welcome to America! ... ฉันเหรอ? เงิบซิคู้นนนนนนนนน เตรียมคำถามร้อยแปดพันเก้า ถามมาประโยคเบสิคโคตร ..? แต่ดีแล้ว ดีเลย ดีมากกก ไม่เครียด 55555 และนั่นทุกอย่างก็จบลงพร้อมตีปีกอันอวบอิ่มบินข้ามฟ้าไปหาหนุ่มตาน้ำข้าววววว อิ๊ววววววว! ไม่ใช่แหละ,,

หลังจากที่ได้รับวีซ่าได้ไม่นาน จริงๆเรามีเรื่องกับการรับวีซ่าด้วย เกือบจะไม่ได้ไป แต่ไม่ขอเล่านะ เพราะเล่าถึงเรื่องนี้ทีไร ของขึ้นจริงๆ!  ... เรากับเพื่อนก็หาข้อตกลงจองเที่ยวบินกันไม่ได้ซักที ติดธุระกันโน่นนี้ จนได้ข้อสรุปวันไปคือ 2 เมษายน 2012 รู้สึกว่าถ้าจำไม่ผิดเราบินเช้ามากเพราะเราตื่นมาตีสามครึ่ง!

 แต่เอาล่ะอันนี้เราเกริ่นเรื่องเริ่มการเดินทางก่อนนะ เดี๋ยวจะแวะมาเล่าใหม่หลังเลิกงาน แต่ต้องบอกก่อนว่ารูปเรามันไม่ใช่มืออาชีพเพราะตอนนั้นใช้ทั้งมือถือรุ่นเดอะถ่ายบ้าง กล้องบ้าง ภาพไม่ค่อยสวย อย่าว่ากันนะ =) 


ของรกในโลกพันปี 

ติชมกันได้นะ แบ่งปันกัน,,